ปะทะเดือด!“ผัวดิฉัน”โดนแจ้งความ เตือน“แม่แบงค์ เลสเตอร์” อย่าป่วนไม่งั้นมีเอาคืน
"มาดามแพม" โร่รับทราบข้อกล่าวหาหลังถูก "แม่แบงค์ เลสเตอร์" แจ้งความ ปมคลิปพาดพิง – ยืนยันไม่ได้เอ่ยชื่อใคร พร้อมโต้กลับหากยังถูกป่วนซ้ำ
กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียลเมื่อ “มาดามแพม” อินฟลูเอนเซอร์และยูทูบเบอร์ชื่อดัง ได้เดินทางไปที่ สน.สายไหม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาหลังถูก “แม่แบงค์ เลสเตอร์” แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาทำคลิปวิดีโอที่ถูกมองว่าเป็นการพาดพิงและทำลายชื่อเสียง โดยเหตุการณ์ทั้งหมดกลายเป็นกระแสสนใจอย่างมากในหมู่ผู้ติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์ เพราะไม่เพียงแต่เป็นเรื่องระหว่างผู้มีชื่อเสียงบนโลกโซเชียล แต่ยังเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิ์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์อีกด้วย
เบื้องหลังคดี: ปมคลิปปริศนา ที่จุดชนวนความไม่พอใจ
ต้นเรื่องของกรณีนี้เริ่มจากการที่ “แม่แบงค์ เลสเตอร์” บุคคลที่เป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลจากการโพสต์ชีวิตประจำวัน รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับลูกชาย ซึ่งมีชื่อเสียงในกลุ่ม LGBTQ+ ได้เข้าแจ้งความที่ สน.สายไหม โดยให้เหตุผลว่า “มาดามแพม” ได้ทำคลิปวิดีโอที่มีเนื้อหาพาดพิงถึงตนและบุตรชาย อันเป็นการทำลายชื่อเสียง แม้ในคลิปดังกล่าวจะไม่มีการระบุชื่อบุคคลใดชัดเจนก็ตาม
“แม่แบงค์” ระบุว่าคลิปดังกล่าวมีลักษณะการพูดในเชิงลบ พาดพิงถึงบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งตนเชื่อว่าตัวเองและลูกชายตกเป็นเป้าหมายในครั้งนี้ จึงตัดสินใจดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรักษาชื่อเสียงและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายมากไปกว่านี้
มาดามแพมชี้แจงที่ สน.สายไหม – ไม่มีการพาดพิงเฉพาะเจาะจง
ภายหลังถูกออกหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา “มาดามแพม” ได้เดินทางไปยัง สน.สายไหม พร้อมทนายความส่วนตัวเพื่อชี้แจงถึงเจตนาในการทำคลิป และยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่มีการเอ่ยชื่อบุคคลใดเลยในเนื้อหาวิดีโอที่เป็นประเด็น
โดยมาดามแพมกล่าวผ่านโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผัวดิฉันชื่อคุณวิทย์ค่ะ และในคลิปนั้นไม่มีการพูดถึงชื่อใครเลย ไม่ได้เจาะจงหรือกล่าวหาว่าใครคือใคร คลิปนี้เป็นการพูดทั่วไปให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร”
มาดามแพมยังระบุเพิ่มเติมว่า การเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในครั้งนี้เป็นไปโดยความสมัครใจ และต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อสังคม อีกทั้งมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเคลียร์ประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งบานปลาย
เตือนกลับหากยังโดนรบกวน จะดำเนินคดีเช่นกัน
ในโพสต์ที่มาดามแพมเผยแพร่บนโซเชียล เธอยังฝากถึง “แม่แบงค์ เลสเตอร์” ว่า “หากมีการส่งข้อความมารบกวนดิฉันอีก ดิฉันจะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการแจ้งความกลับ เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการคุกคามและสร้างความรำคาญ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือดูหมิ่นใครเลย”
เธอกล่าวเพิ่มเติมในทำนองว่า อยากให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ หากจะใช้กฎหมายก็ขอให้ใช้ในฐานะประชาชนที่มีสิทธิ์และหน้าที่เช่นกัน และหากอีกฝ่ายไม่หยุดการกระทำที่สร้างความเดือดร้อน เธอก็จำเป็นต้องใช้สิทธิปกป้องตัวเองเช่นกัน
“แม่อยู่เฉยๆ ได้ไหม?” เป็นถ้อยคำที่เธอทิ้งท้ายไว้ในโพสต์ แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดใจที่ต้องมาตอบโต้กับประเด็นที่เธอมองว่าไม่มีมูลความจริง
ประเด็นร้อนที่สะท้อนสังคมยุคดิจิทัล
กรณี “มาดามแพม” กับ “แม่แบงค์ เลสเตอร์” สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยยุคโซเชียลมีเดียได้อย่างชัดเจน การที่บุคคลหนึ่งสามารถถูกอีกฝ่ายฟ้องร้องเพียงเพราะเข้าใจว่าตนถูกพาดพิง แม้จะไม่มีการระบุชื่อ ถือเป็นบทเรียนสำคัญในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมากต่างตั้งคำถามว่า ขอบเขตของการ “วิจารณ์ทั่วไป” กับการ “หมิ่นประมาทพาดพิง” นั้นควรจะอยู่ตรงไหน เพราะในหลายกรณี แม้ไม่มีชื่อ ก็สามารถนำไปตีความได้ว่าเป็นการกล่าวหาเฉพาะบุคคล จนนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความ
ความคืบหน้าทางคดี: ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน
ในขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะการพิจารณาว่าคลิปวิดีโอของมาดามแพมเข้าข่ายการหมิ่นประมาทหรือทำลายชื่อเสียงบุคคลใดหรือไม่ หากไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการพาดพิงเฉพาะเจาะจง ก็มีแนวโน้มว่าเรื่องนี้อาจจบลงโดยไม่สามารถดำเนินคดีได้
ในเบื้องต้น มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหลักฐานจากทั้งสองฝ่ายเพิ่มเติม และยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือจับกุมแต่อย่างใด เนื่องจากกรณีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการสอบสวนและหาข้อเท็จจริง
บทสรุป: ยุติด้วยเหตุผลหรือจะลากยาวด้วยอารมณ์?
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวระหว่างมาดามแพมและแม่แบงค์ เลสเตอร์ จะจบลงอย่างไร ยังต้องติดตามต่อไป แต่กรณีนี้ก็ได้กลายเป็นอุทาหรณ์สำคัญในยุคที่ใครๆ ก็สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนมีพื้นที่แสดงความคิดเห็นกว้างขวาง แต่บางครั้งการไม่ยั้งคิดหรือการตีความเกินจริงก็อาจนำไปสู่ข้อพิพาทที่ไม่จำเป็น
หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาทางออกอย่างสันติ และหากต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ขอให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง มิใช่อารมณ์หรือความเข้าใจผิด เพื่อให้สังคมไทยสามารถเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และเดินหน้าสู่การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างมีวิจารณญาณต่อไป





















