“4 วิกฤต” สำคัญของไทยในอนาคตจะมีอะไรบ้าง
ในอนาคตคงพูดไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในอีก 10 ปี 4 วิกฤตนี้อาจจะมาแน่ ความท้าทายสำคัญของไทยในอนาคตมีอะไรบ้าง
• ขาดแคลนกำลังแรงงาน วิกฤตนี้มีสาเหตุหลักมาจาก โครงสร้างประชากร ที่เปลี่ยนไปแบบสวนทาง นั่นก็คือ เด็กเกิดใหม่ลดลง แต่จำนวนคนแก่เพิ่มขึ้น ทำให้วัยทำงานที่เป็นแรงงานหลักในการขับเคลื่อนตลาดแรงงานขาดแคลน การลดลงของจำนวนประชากรเกิดใหม่ เป็นที่พูดถึงในช่วงที่ผ่านมา หลังข้อมูลปรากฎว่า ในปี พ.ศ.2554 ไทยเรายังมีตัวเลขการเกิดสูงเกือบ 8.5 แสนคน และ 10 ปีผ่านไป ปี พ.ศ.2564 ตัวเลขการเกิดต่ำกว่า 5.5 แสนคน กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เด็กเกิดใหม่ลดลงมากกว่า 1 ใน 3 ในเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้น !!! สำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย รายงานสถานการณ์การเกิดของประชากรไทย ว่ามีสาเหตุสำคัญมาจากไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่นิยมครองตัวเป็นโสดมากขึ้น ไม่ต้องการอยากมีลูกหรือมีน้อยลง เนื่องจากกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี ข้าวยากหมากแพง คนจำนวนมากที่เป็นห่วงเรื่องความสมดุลระหว่างการงานและครอบครัว และภาวะมีบุตรยาก นั่นเอง
• การบริโภคเปลี่ยน ธุรกิจเดิม ๆ โตยาก ธุรกิจที่เคยตอบสนองอุปสงค์ของตลาดได้ดีในแบบดั้งเดิมของไทยจะมาถึงทางตัน! ตัวอย่างธุรกิจเหล่านี้ ได้แก่ อาหาร เสื้อผ้า และนันทนาการ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสังคมผู้สูงอายุ ทำให้การบริโภคสินค้าเหล่านี้ลดลง จนส่งผลเสียต่อหลาย ๆ ธุรกิจ
• ผู้ใช้ นวัตกรรม แต่ไม่ใช่ ผู้สร้าง ประเทศไทยมีสนับสนุนงบ R&D เพียง 1.14% ของ GDP (2019) หรืออยู่อันดับที่ 43 ของโลก (2021) นวัตกรรมในไทยจึงมีการพัฒนาต่ำ และในขณะที่เทคโนโลยีขั้นสูงส่วนใหญ่ที่มีนั้น ผลิตสินค้าที่เริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก แถมยังต้องพึ่งพานวัตกรรมต่างชาติ ที่มีต้นทุนสูงกว่า หากเทียบกับการมีนวัตกรรมของตัวเอง เมื่อไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ไทยจะติดกับดักรายได้ปานกลางต่อไป ทำให้จำนวนแรงงานมีฝีมือของไทย ไหลออกไปทำงานนอกประเทศกันสูงขึ้น เพราะค่าตอบแทน หรือค่าจ้างที่ดีกว่านั่นเอง
• แก่ก่อนรวย เนื่องจากไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทำให้คนส่วนใหญ่ทำงานจนเกษียณก็ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุในไทยทำให้รัฐบาลมีรายจ่ายที่ต้องแบกรับมากขึ้น เพราะรัฐบาลต้องนำเงินมาดูแลผู้สูงอายุ ในทางกลับกันรัฐบาลมีรายได้ที่ลดลงเพราะผู้คนที่มีกำลังซื้อในประเทศค่อย ๆ หายไป เนื่องมาจากรายได้ที่มีอยู่แปรผกผันกับค่าครองชีพของประเทศ และเมื่อเงินของรัฐบาลน้อยลงรัฐบาลจึงเอาเงินไปลงกับสวัสดิการขั้นพื้นฐานได้น้อยกว่าเมื่อก่อน ประชาชนวัยหนุ่มสาวจึงต้องมาเป็นคนแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ผ่านทางภาษีต่างๆ ทำให้คนส่วนใหญ่ถึงแม้ว่าจะทำงานจนเกษียณแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า แก่ก่อนรวย นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้คงจะจริงแหะ
วิกฤตที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นได้ไป หรือเริ่มเกิดขึ้นแล้วโดนเราไม่รู้ตัวหรือทันสังเกตก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วการรับมือและตั้งรับกับวิกฤตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

















