หาม 'พิมล-เปรมชัย' ผู้ต้องขังคดีตึก สตง.ถล่ม ส่งโรงพยาบาล
เมื่อคืนนี้มีข่าวด่วนที่ดิฉันเห็นแล้วต้องขอหยิบมาเล่าให้พี่น้องวัยเดียวกันฟังค่ะ เพราะเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ในอดีตที่หลายคนอาจจำได้ — คดี “ตึก สตง. ถล่ม” ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ล่าสุดผู้ต้องขังในคดีนี้ 2 คน คือ นายพิมล มั่งมีศรีศิลป์ และ นายเปรมชัย อินทราเวช ถูก หามตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก ด้วยอาการที่ยังไม่เปิดเผยแน่ชัด แต่สื่อรายงานว่าอยู่ในภาวะที่ “ต้องเฝ้าระวัง”
ย้อนคดีใหญ่: ตึก สตง. ถล่ม เกิดอะไรขึ้น?
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ — ตึกที่กำลังก่อสร้างในเขตของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมา ขณะกำลังเทคานชั้นบน ส่งผลให้คนงานเสียชีวิตทันทีหลายราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ผลสอบของคณะกรรมการพบว่า โครงสร้างอาคารไม่ได้มาตรฐาน ใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพ และยังมีความผิดพลาดในการออกแบบและควบคุมงานอย่างร้ายแรง จนนำไปสู่การฟ้องร้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
นายพิมลและนายเปรมชัย ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมงานและผู้บริหารบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ถูกศาลตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ฐานประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต
ล่าสุดในเรือนจำ: ป่วย! จนต้องส่งโรงพยาบาล
รายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดในเรือนจำระบุว่า ในคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เร่งหามตัว นายพิมลและนายเปรมชัย ส่งโรงพยาบาลในสังกัดกรมราชทัณฑ์ เนื่องจากมีอาการผิดปกติทางร่างกายที่ “ไม่สามารถรักษาในเรือนจำได้” โดยยังไม่มีการแถลงจากแพทย์ว่าทั้งสองมีโรคประจำตัวหรือภาวะฉุกเฉินใด
บางกระแสคาดว่าอาจเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว เช่น ความดัน หรือโรคหัวใจ เนื่องจากทั้งสองมีอายุมากและถูกจำคุกมานาน แต่ทางราชทัณฑ์ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
พอข่าวนี้ออกมา ก็มีทั้งเสียงสนับสนุนและตั้งคำถามจากสังคมค่ะ
บางคนมองว่า “เมื่อทำผิดถึงขั้นมีคนตาย ก็สมควรต้องรับผล”
แต่อีกด้านหนึ่งก็เตือนว่า “แม้จะเป็นผู้ต้องขัง ก็ยังเป็นมนุษย์ ต้องได้รับการดูแลพื้นฐานตามสิทธิมนุษยชน”
โดยเฉพาะผู้ต้องขังสูงวัยอย่างทั้งสองคนนี้ การรักษาพยาบาลถือเป็นเรื่องจำเป็น และมีมาตรฐานในระบบราชทัณฑ์เช่นกัน
สรุป
การที่ “นายพิมล” กับ “นายเปรมชัย” ถูกส่งโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ เป็นอีกหนึ่งจุดที่สะท้อนว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามทัน แม้จะไม่ใช่ในทันที แต่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงผลของการกระทำได้
ดิฉันหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ใส่ใจความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของแรงงาน มากกว่าตัวเลขกำไรในบัญชีค่ะ




















