เคลียร์ชัด! แม่ชีวัดดังแจงดราม่าแต่งตัวแฟชั่นเที่ยวทะเล หลังภาพหลุดว่อนเน็ต
แม่ชีวัดดังแจงภาพหลุดเที่ยวทะเล – ใส่วิก ร้องคาราโอเกะ ลั่น “ลาศีลก่อนเดินทาง ใช้เงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับวัด”
กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว เมื่อเพจเฟซบุ๊กชื่อดังได้เผยแพร่ภาพของกลุ่มแม่ชีจากวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ขณะเดินทางไปเที่ยวทะเล โดยในภาพแม่ชีบางคนปรากฏในลุคแฟชั่น สวมเสื้อผ้าลำลองแบบเปิดหน้าท้อง ใส่วิกผม แต่งหน้า และร่วมกิจกรรมร้องคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน โดยมีการระบุข้อความแนบว่า “นี่หรือคือพฤติกรรมของผู้ถือเพศพรหมจรรย์?”
โพสต์ดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ในสังคมไทยอย่างหนัก ทั้งในแง่ของความเหมาะสมของการประพฤติตนของผู้ที่ถือเพศบรรพชิต ไปจนถึงการตั้งคำถามถึงการใช้จ่ายเงินบริจาคและการขาดกลไกในการตรวจสอบภายในวัด โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าแม่ชีมีสิทธิ์หรือไม่ที่จะลาศีลแล้วไปใช้ชีวิตเช่นฆราวาสชั่วคราว ก่อนจะกลับเข้ารับศีลใหม่
ลงพื้นที่ตรวจสอบ - วัดยังดำเนินกิจกรรมตามปกติ
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังวัดชื่อดังในตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและรับฟังคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง โดยพบว่าภายในวัดยังคงมีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นปกติ ญาติโยมเดินทางเข้ามาทำบุญและถวายสังฆทานตามปกติ โดยในวันเดียวกันนั้น ยังมีการจัดกิจกรรมถวายมหาสังฆทานแด่พระสงฆ์ถึง 125 รูป ซึ่งเป็นพระภิกษุจากทั้งในวัดและวัดใกล้เคียงรวมกว่า 10 แห่ง
บรรยากาศภายในหอประชุมสงฆ์ "สังฆบัณฑิต" ซึ่งตั้งอยู่ด้านในของวัด มีความคึกคักและอบอุ่น ผู้สื่อข่าวพบว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากคณะศรัทธาและแม่ชีของวัด ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน และในบางเดือนอาจจัดหลายครั้งด้วยซ้ำ
แม่ชีกมลทิพย์ เปิดใจชี้แจง – “ลาศีลแล้ว ใช้เงินส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเงินวัด”
เมื่อสอบถามถึงกรณีภาพหลุดเที่ยวทะเล แม่ชีกมลทิพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปรากฏในภาพที่เป็นประเด็น ได้ออกมาชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพของตนเองจริง และถ่ายไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2563 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ตนและแม่ชีอีกหลายคนได้ลาศีล 8 อย่างถูกต้องก่อนเดินทาง และไม่ได้อยู่ในสถานะแม่ชีในช่วงที่ภาพถูกถ่าย
“วันนั้นเราไปพักผ่อนกันที่จังหวัดเพชรบุรี เพราะน้องๆ หลายคนช่วยงานวัดมาตลอดปี ยังไม่เคยได้พักเลย แล้วช่วงนั้นเราพอมีเงินจากการขายที่ดิน จึงตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวไปพักผ่อนกันค่ะ ไม่ได้แตะเงินวัด ไม่ได้เอาเงินบริจาคมาใช้แน่นอน” แม่ชีกมลทิพย์กล่าว
แม่ชีศิรินทิพย์ร่วมทริป – ย้ำ “ไปเพื่อผ่อนคลาย ไม่ใช่เรื่องผิดศีล”
ด้านแม่ชีศิรินทิพย์ ซึ่งร่วมเดินทางในทริปดังกล่าวด้วย ยืนยันว่า การเดินทางครั้งนั้นไม่ได้มีเจตนาเสื่อมเสียใดๆ และตนเองก็ยังคงถือศีลอยู่ในช่วงนั้น โดยยังคงนุ่งขาวห่มขาวไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แม้จะร่วมทริปแต่ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่ขัดต่อหลักธรรมวินัย
“เราก็แค่ไปพักผ่อนค่ะ เพราะตลอดทั้งปีเราทำงานเพื่อวัดอย่างหนัก พอมีโอกาสก็เลยไปทะเลกันบ้าง มันเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่ได้ไปรบกวนใคร ไม่ได้เปิดเผยตัวต่อสาธารณะ...แต่เพจดังเอาภาพมาโพสต์แล้วตีความกันไปเอง” แม่ชีศิรินทิพย์ชี้แจง
เจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ยืนยัน – “แม่ชีไม่ถือเป็นนักบวชตามกฎหมาย”
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทและสถานะของแม่ชีในพระพุทธศาสนาไทย โดยเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า แม่ชีไม่ถือเป็นนักบวชในทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เนื่องจากไม่มีการบรรพชาแบบพระภิกษุหรือสามเณร จึงถือว่าแม่ชีมีสถานะใกล้เคียงกับอุบาสิกาหรือผู้ปฏิบัติธรรม
นอกจากนี้ การกระทำของแม่ชีจึงอยู่ในขอบเขตของพฤติกรรมส่วนบุคคล หากแม่ชีได้ทำการลาศีลแล้ว ก็ถือว่าไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางวินัยของผู้ถือศีล การใช้เงินส่วนตัว และการแต่งกายแบบฆราวาสในช่วงที่ลาศีล จึงไม่สามารถเอาผิดในทางกฎหมายพระศาสนาได้
สังคมตั้งคำถาม – ความเหมาะสมและความเข้าใจที่แตกต่าง
แม้ว่าแม่ชีจะชี้แจงว่าได้ลาศีลแล้วและใช้เงินส่วนตัวในการเดินทาง แต่ในโลกออนไลน์กลับยังมีเสียงวิจารณ์อยู่มาก ทั้งในแง่ของความเหมาะสม และความคาดหวังของสังคมต่อผู้ที่เคยถือเพศพรหมจรรย์
หลายความคิดเห็นตั้งคำถามว่า หากผู้ถือศีลสามารถลาศีลเพื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบฆราวาสชั่วคราวได้อย่างง่ายดาย แล้วกลับมารับศีลใหม่โดยไม่มีการตรวจสอบหรือกลไกรองรับ สถาบันศาสนาอาจสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของผู้คนไปหรือไม่
ขณะเดียวกันก็มีอีกกระแสหนึ่งที่สนับสนุนแม่ชี โดยมองว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมก็ยังเป็นมนุษย์” การผ่อนคลายบ้างในช่วงที่ลาศีลถือเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และไม่ควรตัดสินจากภาพถ่ายเพียงไม่กี่ใบโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน
บทเรียนสู่การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ
กรณี “แม่ชีเที่ยวทะเล” สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภาพลักษณ์ทางศาสนาในยุคโซเชียลมีเดีย ความคาดหวังของสังคมต่อผู้ถือศีลอาจสูงกว่าข้อเท็จจริงหรือหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่มีอยู่ นำไปสู่การตัดสินกันบนพื้นฐานของภาพลักษณ์ มากกว่าข้อเท็จจริง
ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็เป็นโอกาสให้เกิดการพูดคุยในสังคมเกี่ยวกับบทบาทของแม่ชี การจัดการศีล การใช้ชีวิตของผู้ปฏิบัติธรรม และกรอบทางสังคมที่อาจต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ โดยยังเคารพในหลักธรรมคำสอนอย่างเหมาะสม

















