แนวรบช่องบกตึงเครียด “ทหารเขมร” รุกคืบชายแดนไทย ยึดพื้นที่ 150 เมตร ฝ่ายไทยเจรจาหลายสัปดาห์แล้วแต่ไม่เป็นผล
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านช่องบก จังหวัดสุรินทร์ ยังคงดำเนินไปอย่างเงียบงันแต่เข้มข้น โดยล่าสุดมีรายงานว่ากำลังทหารจากฝั่งกัมพูชาได้มีการรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทยลึกเข้ามาประมาณ 150 เมตร ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างหมู่บ้านชาวบ้านกับแนวป่ารอยต่อ และเคยมีข้อพิพาทในอดีตเกี่ยวกับเส้นเขตแดนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ชัดเจน
การเจรจาไร้ผล ฝ่ายไทยอยู่ในภาวะอึดอัด
ข้อมูลจากแหล่งข่าวภาคสนามระบุว่า การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสามสัปดาห์แล้ว โดยฝ่ายไทยได้พยายามยื่นข้อเสนอเพื่อขอให้ถอนกำลังและคืนพื้นที่อย่างสันติ แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ จากทางกัมพูชา
ขณะที่กำลังพลทหารไทยที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในภาวะตึงเครียดและอึดอัด เนื่องจากไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้มากไปกว่าการตั้งรับและเฝ้าระวัง โดยต้องรอคำสั่งจากระดับนโยบาย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณของการใช้มาตรการที่ชัดเจนหรือเด็ดขาดจากรัฐบาลหรือกองทัพ
ข้อพิพาททางพื้นที่และความซับซ้อนของเขตแดน
จุดที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์และการใช้ประโยชน์ในอดีต ทำให้แนวเส้นแบ่งเขตแดนไม่สามารถตกลงกันได้อย่างเป็นรูปธรรม การที่ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนกำลังเข้ามาและตั้งจุดสังเกต รวมถึงขึงลวดหนามและปักธงชาติตนเองในพื้นที่ดังกล่าว ถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามถึงรัฐบาลและกองทัพ: ควรตอบโต้อย่างไร?
สถานการณ์ในขณะนี้นำไปสู่คำถามสำคัญในหมู่ประชาชนและผู้ติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง ว่าไทยควรดำเนินการอย่างไรเพื่อปกป้องสิทธิในดินแดนของตนเองโดยไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเป็นความขัดแย้งทางทหาร ในขณะที่ยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตและไม่ทำให้บานปลายสู่ระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ หลายฝ่ายเสนอแนะว่าควรมีการยกระดับการเจรจาไปสู่ระดับรัฐมนตรี หรือขอความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน หรือคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยการเตรียมพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ในทุกมิติ
แม้ประเทศไทยจะยึดหลักสันติวิธีเป็นสำคัญ แต่การละเลยต่อพฤติกรรมการรุกล้ำอย่างต่อเนื่องอาจสร้างบรรทัดฐานที่ผิดพลาดในระยะยาว การตอบสนองอย่างเหมาะสมทั้งทางทูตและความมั่นคงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน

















