บุกจับผู้จัดการ–พนักงานแบงก์ เปิดบัญชีให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน คนไทยทำร้ายกันเอง ทั้งที่รู้ว่าผิด หรือเพราะกลิ่นเงินมันหอม?
ในขณะที่สังคมไทยกำลังต่อสู้กับภัยคุกคามจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติที่หลอกลวงเงินจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง ความน่าตกใจก็คือ มีคนไทยเองจำนวนไม่น้อยที่กลายเป็น “กลไก” สำคัญในกระบวนการเหล่านั้น ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือแสร้งไม่รู้ พวกเขากำลังมีบทบาทเป็นตัวช่วยให้ขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้เติบโตและหลบเลี่ยงการตรวจจับได้อย่างแนบเนียน
คนในธนาคารกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญ
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกจับผู้จัดการและพนักงานธนาคารในหลายพื้นที่ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการ เปิดบัญชีม้า ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน บัญชีเหล่านี้ถูกใช้เป็นช่องทางโอนเงินจากเหยื่อในประเทศไทย ไปยังเครือข่ายข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง
การจับกุมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการกับ “ผู้กระทำผิด” ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่น่ากังวล เพราะขบวนการทั้งหมดอาศัยคนไทย “ยอมให้ใช้ชื่อ” หรือ “ยอมเปิดบัญชีให้” โดยมีผลตอบแทนล่อใจ
รู้ว่าผิด แต่ยังเลือกทำ
พนักงานธนาคารจำนวนไม่น้อยรู้ดีว่า การเปิดบัญชีให้บุคคลภายนอกโดยไม่ตรวจสอบอย่างถูกต้องนั้น ขัดต่อกฎเกณฑ์ธนาคารและผิดกฎหมาย แต่ก็ยังยินยอม หรือบางครั้งมีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ได้มาเร็วและง่าย
บางคนได้รับค่าจ้างรายหัวในการเปิดบัญชี
บางคนมีส่วนแบ่งจากยอดเงินที่ถูกหลอก
บางคนถูกกดดันจากผู้มีอิทธิพลหรือเครือข่ายใต้ดิน
แม้สถานการณ์จะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ การยอมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
คนไทยกำลังทำร้ายกันเอง
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “การช่วยเหลือขบวนการต่างชาติ” เท่านั้น แต่ลึกลงไป มันคือการ ทรยศต่อเพื่อนร่วมชาติ การที่คนไทยจำนวนหนึ่งยอมขายความซื่อสัตย์ของตัวเอง เพื่อแลกกับเงินไม่กี่หมื่นหรือแค่หลักแสน กลับทำให้คนอีกนับพันสูญเสียเงินเก็บทั้งชีวิต และหมดศรัทธาในระบบ
เหยื่อหลายคนหมดตัว
บางคนถึงขั้นคิดสั้น
หลายครอบครัวแตกแยกจากความสิ้นหวัง
ทั้งหมดนี้เกิดจากความร่วมมือของ “คนในประเทศเดียวกัน”
อาชญากรรมที่ไม่มีอาวุธ แต่สร้างบาดแผลลึก
แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจไม่มีมีดหรือปืน แต่สร้างบาดแผลลึกให้กับสังคมมากกว่า เพราะเป็นการโจมตีความมั่นใจของผู้คนในระบบ การที่พนักงานธนาคาร—ซึ่งควรเป็นด่านแรกของความปลอดภัย—กลับกลายเป็นช่องโหว่ นับเป็นวิกฤตศรัทธาที่รุนแรง
สังคมต้องตั้งคำถามกับตัวเอง
คำถามสำคัญที่เราทุกคนต้องถามคือ:
"เขาไม่รู้ว่าผิด? หรือเขารู้...แต่กลิ่นเงินมันหอมเกินต้าน?"
หลายคนอ้างว่า “ไม่ได้ตั้งใจ” หรือ “ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับคดี”
แต่ความจริงคือ เมื่อคุณยอมให้ใช้บัญชีของตัวเอง ย่อมรู้ว่ามีความเสี่ยง
เมื่อคุณช่วยเปิดช่องทางให้เงินผิดกฎหมายไหลเวียน คุณคือส่วนหนึ่งของขบวนการ
ถ้าเราไม่เปลี่ยน ทุจริตจะไม่หยุด
กฎหมายอาจเอาผิดคนหนึ่งคนได้
แต่ถ้าสังคมยังปล่อยปละให้คนจำนวนมาก “ยอมทำผิดเพื่อเงิน”
ขบวนการเหล่านี้ก็จะไม่มีวันจบ
ทางรอดที่แท้จริง คือการเปลี่ยนทัศนคติของผู้คน
ให้เห็นค่าความซื่อสัตย์มากกว่าเงินก้อนโต
ให้กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้จะได้เงินง่าย
สุดท้าย...อย่าให้ใครต้องเป็นเหยื่อเพราะเรา
การต่อสู้กับขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจเท่านั้น
แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่จะ ไม่เป็นส่วนหนึ่งของมัน
อย่าให้ความโลภมาทำให้คุณเป็น “ผู้ร้ายในเงา”
และอย่าปล่อยให้คนไทยต้องหลอกลวงกันเอง...เพียงเพราะเงิน

















