แฉขบวนการ! "หมอเตย-พ.จ.อ." เก็บค่าที่งานวัด ส่งเงินตรง "ทิดแย้ม" ไม่ผ่านบัญชีวัด
จ่อดำเนินคดี “หมอเตย-สามี” ฐานร่วมสนับสนุนยักยอกเงินวัดไร่ขิง – ปมร้อนเงินสดค่าเช่าหายไร้ร่องรอยในบัญชีวัด
ความคืบหน้าล่าสุดในคดีอื้อฉาวที่เขย่าวงการพระพุทธศาสนาและสั่นสะเทือนสังคมไทย กรณีการยักยอกเงินวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม เริ่มชัดเจนขึ้นอีกขั้น เมื่อเจ้าหน้าที่พบข้อมูลสำคัญที่อาจนำไปสู่การดำเนินคดีกับ “หมอเตย” หรือ นางพชรพร พัศรานุวัฒ และสามี พ.จ.อ.ฉัตรชัย อินทร์มี ในข้อหามีส่วน “สนับสนุน” การยักยอกเงินของวัดร่วมกับอดีตเจ้าอาวาส “ทิดแย้ม” หรือ พระครูสิริกิจจานุกูล (แย้ม) ที่ขณะนี้ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกดำเนินคดีอยู่ก่อนหน้านี้
วัดไร่ขิงถูกตรวจสอบรอบใหม่ – เปิดตู้บริจาค 185 ตู้ เงินไหลเวียนหลักล้านต่อวัน
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการ ปปป. พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ได้ลงพื้นที่วัดไร่ขิงอีกครั้ง โดยเป้าหมายสำคัญคือการตรวจสอบบัญชีธนาคารต่าง ๆ ของวัดอย่างละเอียด เพื่อวิเคราะห์กระแสเงินเข้า-ออกในแต่ละวัน พร้อมทั้งเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องหลายรายมาสอบถามเพื่อประกอบข้อเท็จจริง
ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า วัดไร่ขิงมีระบบการบริหารจัดการบัญชีที่ไม่เป็นระบบชัดเจน บัญชีธนาคารถูกแยกออกเป็นหลายส่วน โดยไม่มีการเชื่อมโยงกันอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความสับสนว่าแท้จริงแล้ววัดมีบัญชีทั้งหมดกี่บัญชี และบัญชีใดบ้างที่มีเงินหมุนเวียน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากธนาคารต่าง ๆ ในการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังตรวจสอบตู้บริจาคทั้งหมดภายในวัด พบว่ามีอยู่ถึง 185 ตู้ โดยในช่วงวันปกติ มีเงินบริจาคจากพุทธศาสนิกชนไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อวัน ขณะที่ช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ วันพระใหญ่ หรือวันมาฆบูชา เงินบริจาคอาจพุ่งสูงถึง หลักล้านบาท เลยทีเดียว
เงินค่าเช่าหายปริศนา – หมอเตยหอบเงินสดเสิร์ฟถึงกุฏิทิดแย้ม แต่ไม่เข้าบัญชีวัด
หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของการขยายผลคดีนี้ คือการตรวจสอบพบว่า “เงินสด” จากค่าเช่าร้านค้าภายในงานประจำปีของวัด ที่ถูกจัดเก็บโดยหมอเตยและสามี ถูกนำไปส่งถึงกุฏิของอดีตเจ้าอาวาส “ทิดแย้ม” โดยตรง แต่กลับไม่พบยอดเงินดังกล่าวในระบบบัญชีของวัดแต่อย่างใด
เหตุการณ์นี้สร้างข้อสงสัยให้กับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมากว่า การนำเงินสดจำนวนมากไปมอบให้กับอดีตเจ้าอาวาสโดยตรงโดยไม่มีหลักฐานการนำเงินเข้าบัญชีธนาคาร อาจเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงเจตนาแอบแฝง และอาจเข้าข่ายการ “สมรู้ร่วมคิด” หรือ “สนับสนุน” การยักยอกเงินของวัด
บทบาทของหมอเตยและสามีในวัดไร่ขิง – ผู้มีอิทธิพลต่อระบบการเงินและทรัพย์สิน
จากแนวทางการสืบสวนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่พบว่าหมอเตยและสามี มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการบริหารจัดการภายในวัด ไม่เพียงแค่เป็นผู้ดูแลเรื่องการจัดเก็บเงินค่าเช่าร้านค้าในงานวัดต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังพบว่า รถยนต์หลายคันของวัดมีชื่อ พ.จ.อ.ฉัตรชัย เป็นผู้ครอบครอง สะท้อนถึงความไว้วางใจระดับสูงจากเจ้าอาวาสในอดีต และอาจสะท้อนถึงความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งในเชิงผลประโยชน์
พฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่เริ่มพิจารณาว่า สองสามีภรรยานี้ไม่ใช่เพียง “ผู้รับคำสั่ง” จากเจ้าอาวาสเพียงอย่างเดียว แต่มีส่วนในการตัดสินใจและดำเนินการในลักษณะที่อาจมีผลต่อทิศทางการใช้จ่ายหรือจัดเก็บทรัพย์สินของวัดอย่างมีนัยสำคัญ
เปิดเส้นทางเงินวัดไร่ขิง – จากศรัทธาสู่ความคลางแคลง
กรณีของวัดไร่ขิง ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาโครงสร้างการจัดการด้านการเงินของวัดในประเทศไทย ซึ่งมักพึ่งพาระบบแบบ “ภายใน” โดยไม่มีการควบคุมหรือกลไกตรวจสอบภายนอกอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เงินที่มาจากศรัทธาของญาติโยมสามารถกลายเป็นช่องทางให้บุคคลบางกลุ่มหาผลประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อบัญชีธนาคารของวัดไม่โปร่งใส การเงินไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานกลาง การหายไปของเงินจำนวนมหาศาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และเมื่อผู้บริหารภายในมีเครือข่ายใกล้ชิด องค์กรศาสนาอาจกลายเป็นแค่ฉากหน้าของการกระทำที่ขัดต่อหลักธรรม
เจ้าหน้าที่เดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐาน – จ่อเข้าสู่ที่ประชุมคลี่คลายคดีชุดใหญ่
ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานคลี่คลายคดีระดับใหญ่ โดยหากผลสรุปชี้ชัดว่า หมอเตยและสามีมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือมีเจตนาสนับสนุนการกระทำผิด ก็จะมีการดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเร็วที่สุด
ในเบื้องต้น การพิจารณาอาจมุ่งเน้นไปที่ความผิดฐาน สนับสนุนการยักยอกทรัพย์ หรือ สมคบคิดในการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัด ซึ่งหากถูกพิสูจน์ว่าเป็นจริง โทษที่ตามมาอาจไม่ต่างจากตัวผู้กระทำหลัก
เสียงสะท้อนจากสังคม – ศรัทธาในพระศาสนาต้องมีระบบคุ้มครอง
กรณีนี้ไม่เพียงแต่เป็นคดีอาญาที่สังคมจับตามองเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า ระบบการบริหารวัดในประเทศไทยต้องมีการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งหน่วยงานกลางด้านบัญชี การออกกฎหมายควบคุมทรัพย์สินวัด หรือแม้แต่การอบรมเจ้าอาวาสและผู้เกี่ยวข้องให้มีความรู้ด้านการเงิน การจัดการ และธรรมาภิบาล
ความศรัทธาของประชาชนในพระพุทธศาสนา เป็นรากฐานที่มั่นคงของสังคมไทยมาช้านาน แต่หากไม่มีระบบป้องกันและตรวจสอบ การศรัทธานั้นอาจกลายเป็นเหยื่อของความโลภและอำนาจอีกต่อไป
การเปิดโปงเครือข่ายทุจริตภายในวัดไร่ขิงไม่เพียงเป็นเรื่องของการคืนความยุติธรรมให้แก่เงินบริจาคจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ในใจของประชาชนอย่างมั่นคงต่อไป






















