แฉจากคนใน! กรรมการวัดไร่ขิงเผยรายได้วัดมหาศาล ปีละกว่า 100 ล้าน
"เจาะลึกคดีร้อนวัดไร่ขิง อดีตเจ้าอาวาสยักยอกเงินกว่า 300 ล้าน : เปิดใจกรรมการวัดแฉรายได้หลักกว่า 100 ล้านต่อปี มีเงินบางส่วนตรวจสอบไม่ได้"
กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์และศรัทธาประชาชนทั้งประเทศ กรณี “ทิดแย้ม” หรืออดีตพระธรรมวชิรานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ที่ถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์จากบัญชีวัดจำนวนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อนำไปเล่นพนันบาคาร่าออนไลน์ ซึ่งถือเป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบในการบริหารจัดการด้านการเงินของวัดในประเทศไทย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ทีมข่าว "อมรินทร์ทีวี" ได้พูดคุยเปิดใจกับ "คุณอัด" (นามสมมติ) ซึ่งเป็นกรรมการวัดไร่ขิงมาเป็นเวลาหลายปี และได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับรายได้ของวัด และช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่การทุจริตดังกล่าว
รายได้ของวัดไร่ขิงมีมากกว่าที่คิด
คุณอัดเปิดเผยว่า วัดไร่ขิงถือเป็นวัดที่มีรายได้สูงมากในแต่ละปี โดยรายได้หลักแบ่งออกเป็น 4 ทาง ได้แก่:
1. เงินจากมูลนิธิของวัด – ซึ่งได้รับจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ที่ร่วมกันบริจาคเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาและบำรุงรักษาวัด
2. เงินจากการประมูลแผงขายของในงานประจำปี – งานประจำปีของวัดไร่ขิงถือเป็นงานใหญ่ที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากในแต่ละปี รายได้จากแผงค้าต่าง ๆ มีตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท
3. เงินค่าเช่าวัตถุมงคล – วัดไร่ขิงเป็นที่รู้จักเรื่องพระเครื่องและวัตถุมงคลจำนวนมาก โดยเฉพาะ “หลวงพ่อวัดไร่ขิง” ที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก ทำให้มีรายได้จำนวนไม่น้อยจากการเช่าวัตถุมงคล
4. เงินค่าเช่าที่ตลาดนัดวัดไร่ขิง – ตลาดนัดในพื้นที่วัดนั้นมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 500,000 บาท หรือประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี
จากทั้ง 4 ช่องทางนี้ ทำให้วัดไร่ขิงมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับวัดทั่วไปในประเทศไทย แต่คุณอัดยอมรับว่า “เงินบางส่วนไม่สามารถตรวจสอบได้” โดยเฉพาะเงินที่ได้จากการประมูลแผงขายของที่ไม่มีระบบบัญชีที่โปร่งใสชัดเจน
ระบบบริหารวัดที่เต็มไปด้วยช่องโหว่
แม้จะมีรายได้จำนวนมาก แต่คุณอัดยืนยันว่า วัดไร่ขิงมี “ช่องโหว่” ที่เอื้อต่อการรั่วไหลของเงินอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานบุคคล การจัดสรรเงินรายรับ และการตรวจสอบบัญชี ที่แทบไม่มีความเป็นระบบหรือกลไกตรวจสอบถ่วงดุล
แม้จะทราบดีว่ามีความผิดปกติในระบบการบริหาร แต่กรรมการวัดหลายคนรวมถึงตัวเขาเองก็ไม่กล้าออกมาเปิดเผยหรือพูดถึง เพราะ “กลัวว่าวัดจะเสียชื่อเสียง” ซึ่งถือเป็นปัญหาซ้อนซับที่เกิดขึ้นในหลายวัดทั่วประเทศ เมื่อวัดกลายเป็นองค์กรที่มีรายได้สูง แต่กลับไม่มีการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ
เส้นทางของ “ทิดแย้ม” สู่เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
คุณอัดเล่าย้อนว่า อดีตพระธรรมวชิรานุวัตร หรือ “ทิดแย้ม” บวชเป็นสามเณรที่วัดไร่ขิงตั้งแต่เยาว์วัย ก่อนจะได้อุปสมบทเป็นพระและเริ่มรับตำแหน่งต่าง ๆ ภายในวัด กระทั่งได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงในปี 2550 และดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน
หลังจากเป็นเจ้าอาวาสได้ไม่นาน ทิดแย้มก็เริ่มแต่งตั้ง “ผู้ช่วยเจ้าอาวาส” จำนวนมาก ซึ่งภายในวัดไร่ขิงมีผู้ช่วยฯ ถึง 12 รูป และหนึ่งในนั้นคือ “หลานชาย” ของทิดแย้มเอง ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระชั้นเจ้าคุณในอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย เมื่อปี 2566 ขณะอายุเพียง 31 ปี 11 เดือน
การแต่งตั้งผู้ช่วยฯ จำนวนมากเช่นนี้ นอกจากจะสร้างความแคลงใจในหมู่พระและกรรมการวัดบางส่วน ยังสะท้อนให้เห็นถึงการรวมอำนาจบริหารไว้ที่บุคคลเพียงไม่กี่คน ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการบริหารเงินอย่างไม่โปร่งใส
เมื่อสายลับกลายเป็นเด็กวัด เปิดโปงทุจริตที่ซ่อนมานานเกือบปี
อีกด้านหนึ่งของคดีที่น่าสนใจ คือการปฏิบัติการของ “ตำรวจสอบสวนกลาง” ที่ส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปเป็น “เด็กวัด” ทำงานทุกอย่างเหมือนลูกศิษย์วัดทั่วไป เพื่อสังเกตพฤติกรรมและเก็บหลักฐานการทุจริต
ร.ต.อ.นิติธร ประชันกาญจนา หรือ "ผู้กองเหล็ก" ได้รับภารกิจแฝงตัวเข้าไปในวัดไร่ขิงนานถึง 8 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม 2567 ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจและสามารถเก็บหลักฐานด้านการเงินที่ผิดปกติได้อย่างแนบเนียน จนนำไปสู่การขอหมายจับและเข้าตรวจค้นวัดในเดือนพฤษภาคม 2568
บทเรียนจากวัดไร่ขิง ถึงเวลาปฏิรูปการเงินในวัดทั่วประเทศ
กรณีนี้ถือเป็น “Wake-up Call” สำคัญที่สะท้อนว่า ถึงเวลาแล้วที่วงการศาสนาในไทยต้อง “ปฏิรูประบบการเงิน” ภายในวัดอย่างจริงจัง วัดจำนวนมากในไทยมีรายได้มหาศาลจากแรงศรัทธาของประชาชน แต่กลับไม่มีระบบบริหารจัดการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และอยู่ภายใต้กลไกของรัฐหรือองค์กรที่เชื่อถือได้
กรณีวัดไร่ขิงไม่ใช่เพียงการล้มของบุคคล แต่เป็นการเปิดโปงทั้งระบบที่พังมานาน หากสังคมยังไม่ตระหนักและแก้ไข วัดอื่น ๆ อาจจะเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกันในอนาคต
คดีของ "ทิดแย้ม" ไม่ใช่แค่เรื่องของคนคนหนึ่ง แต่สะท้อนถึงระบบที่ปล่อยให้ช่องโหว่ในศาสนสถานยังคงดำเนินต่อไปได้ในยุคปัจจุบัน ถึงเวลาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามาตรวจสอบและพัฒนากลไกให้วัดในประเทศไทยสามารถดำรงตนด้วยความโปร่งใส สมกับเป็นสถานที่ที่พึ่งทางใจของประชาชนอย่างแท้จริง

















