ญาติเหนียวแน่น! เจาะธุรกิจเครือญาติ “วัดไร่ขิง” กับการแบ่งอำนาจแบบชัดเจน
สะเทือนวงการสงฆ์! อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงถูกกล่าวหายักยอกเงิน 300 ล้าน เล่นบาคาร่าออนไลน์ – แฉพฤติกรรมแบ่งผลประโยชน์เครือญาติ-ซื้อขายตำแหน่งพระ
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง เมื่ออดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะภาค 14 ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินวัดไปมากถึง 300 ล้านบาท และนำเงินดังกล่าวไปใช้เล่นการพนันออนไลน์ โดยเฉพาะเกม “บาคาร่า” ที่เป็นการพนันยอดนิยมในโลกออนไลน์ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากสังคมและชาวพุทธที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าวของพระสงฆ์ระดับสูง
เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา มีรายงานว่าเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงทราบว่ากำลังจะถูกออกหมายจับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง จึงตัดสินใจเข้ามอบตัว และได้ทำการสึกจากสมณเพศ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยเจ้าหน้าที่เตรียมนำตัวอดีตเจ้าอาวาสฝากขังต่อศาลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2568
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าการยักยอกเงินคือ เบื้องหลังโครงสร้างผลประโยชน์ในวัดไร่ขิง ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลจนกลายเป็นแหล่งเงินทองขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากเงินบริจาคของประชาชน และรายได้จากการเช่าพื้นที่ค้าขายภายในวัด ที่มีการบริหารจัดการโดยกลุ่มคนใกล้ชิดของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งรวมถึงพระสงฆ์และฆราวาสที่เป็นญาติสนิท
เปิดโปงโครงสร้างผลประโยชน์ในวัด – “ตู้เงินบริจาคมีเจ้าของ”
จากการเปิดเผยของแหล่งข่าว ทีมข่าวเนชั่นทีวีได้ตรวจสอบและพบว่า ในอดีตนั้น การบริหารจัดการเงินบริจาคของวัดไร่ขิงเป็นระบบ คือจะมีเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามารับฝากเงินบริจาคเข้าบัญชีของวัดทุกเย็น แต่ในช่วงหลังได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบตู้เงินบริจาคเป็น “โซน” และมอบอำนาจการดูแลให้กับคนใกล้ชิดอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งถือกุญแจเปิดตู้บริจาคแต่ละตู้เอาไว้
โดยตู้บริจาคทุกตู้มี “เจ้าของ” และการจัดสรรผลประโยชน์ก็อยู่ในกลุ่มเครือญาติหรือพระที่ใกล้ชิดกับอดีตเจ้าอาวาส ทำให้เงินจำนวนมากไม่เข้าสู่บัญชีวัดอย่างเป็นทางการ กลายเป็นเงินที่ไม่มีการตรวจสอบ ทำให้กลุ่มคนดังกล่าวสามารถสะสมความมั่งคั่งจากเงินทำบุญของประชาชนอย่างลับๆ
ธุรกิจภายในวัด – ญาติควบคุมทุกอย่าง
ไม่เพียงแต่เงินบริจาคเท่านั้นที่ตกเป็นประเด็น แต่ยังรวมถึงการควบคุมธุรกิจสวัสดิการภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นร้านขายน้ำ ขายอาหาร ร้านขายสินค้า OTOP ร้านเช่าแผงลอตเตอรี่ และแผงขายของอื่นๆ ก็ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของ “หลานสาว” ของอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่เช่าภายในวัด โดยเฉพาะแผงลอตเตอรี่ที่มีค่าเช่าสูงลิ่ว
มีรายงานว่าอดีตเจ้าอาวาสถึงขั้นออกมาขอเก็บค่าเช่าแผงด้วยตนเอง และหากผู้ค้าไม่ยอมจ่ายในราคาที่กำหนด ก็จะถูกห้ามไม่ให้ขายสินค้าภายในวัด นอกจากนี้การเก็บค่าเช่าก็จะรับเฉพาะ “เงินสด” เท่านั้น ไม่รับโอนผ่านบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากคณะกรรมการวัดหรือเจ้าหน้าที่รัฐ
“งานวัด” รายได้สะพัดนับร้อยล้านบาทต่อปี
นอกจากรายได้ประจำจากร้านค้าภายในวัดแล้ว “งานประจำปีวัดไร่ขิง” ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำเงินมหาศาล โดยจะมีการเก็บค่าเช่าล็อคขายของจากพ่อค้าแม่ค้า โดยให้คณะกรรมการวัดที่ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาสเป็นผู้จัดการ จากนั้นนำไป “ประมูลต่อ” ซึ่งผู้รับสิทธิก็มักจะเป็นญาติพี่น้องของอดีตเจ้าอาวาสทั้งสิ้น
รายได้จากงานประจำปีบางปีมีมูลค่าสูงถึงร้อยล้านบาท แต่ไม่มีการเปิดเผยบัญชีหรือรายงานการเงินอย่างโปร่งใส เพราะเน้นการชำระเงินสดหลีกเลี่ยงระบบบัญชีที่ต้องตรวจสอบ
แฉ! ซื้อขายตำแหน่งในวงการสงฆ์ – ตำแหน่งละหลายล้าน
สิ่งที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือการเปิดโปงเรื่องการ ซื้อขายตำแหน่งในวงการสงฆ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาค 14 ที่ดูแลวัดมากกว่า 1,500 แห่งใน 4 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสาคร
แหล่งข่าวระบุว่า ตำแหน่งระดับเจ้าคณะตำบล มีมูลค่าซื้อขายสูงถึง 8 ล้านบาท ขณะที่ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ หรือเจ้าคณะจังหวัด ก็มีการ “วิ่งเต้น” ด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเช่นกัน พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่อยากได้ตำแหน่งทางสงฆ์ ต้องยอมจ่ายเงินหรือมีผู้สนับสนุนจากกลุ่มอำนาจภายใน เพื่อให้ได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นธรรม
เสียงสะท้อนจากชาวพุทธ – วัดกลายเป็นธุรกิจ ครอบครัวหาประโยชน์
ข่าวฉาวครั้งนี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากพุทธศาสนิกชนที่รู้สึกผิดหวังกับพฤติกรรมของพระสงฆ์ระดับสูง โดยมองว่าวัดไม่ได้เป็นสถานที่ทางศาสนาอีกต่อไป แต่กลายเป็นองค์กรธุรกิจที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนบางกลุ่มหาผลประโยชน์อย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม
หลายคนเรียกร้องให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและรัฐบาลเร่งเข้ามาตรวจสอบวัดทั่วประเทศอย่างจริงจัง และผลักดันให้มีระบบการเงินของวัดที่โปร่งใส มีการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายต่อสาธารณชน เพื่อฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนที่กำลังสั่นคลอน
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญของสังคมไทยที่ควรตั้งคำถามว่า โครงสร้างและระบบตรวจสอบวัดในปัจจุบันโปร่งใสเพียงพอแล้วหรือไม่? หากปล่อยให้ “เงิน” เข้ามาควบคุมระบบสงฆ์มากขึ้น วัดอาจกลายเป็นแหล่งผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลมากกว่าการเป็นศูนย์กลางจิตใจของพุทธศาสนิกชน

















