ไม่รอด! “เปรมชัย” เจอหมายจับ คดีตึก สตง. ถล่ม พัวพันก่อสร้างกับ ITD
เปิดเบื้องหลังโศกนาฏกรรมอาคาร สตง. ถล่ม – เหตุผลที่ “เปรมชัย กรรณสูต” อดีตบิ๊ก ITD และพวก 16 ราย ถูกแจ้งข้อหาหนักตาม ม.227 และ ม.238
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการก่อสร้างและสั่นคลอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อโครงการขนาดใหญ่ หลังมีการออกหมายจับ “นายเปรมชัย กรรณสูต” อดีตประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD พร้อมพวกอีก 16 ราย โดยพวกเขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 89 ราย
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สร้างความโศกเศร้าและความโกรธเคืองให้กับประชาชนทั่วประเทศ เพราะเบื้องหลังโศกนาฏกรรมนี้มีเงื่อนงำมากมาย ตั้งแต่การออกแบบที่ไร้มาตรฐาน การใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพ ไปจนถึงการปลอมแปลงเอกสารสำคัญในการก่อสร้าง
เหตุใด “เปรมชัย” ถึงโดนหมายจับ?
“เปรมชัย กรรณสูต” ในฐานะอดีตประธาน ITD ได้ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง เนื่องจากบริษัท ITD ที่เขาเคยบริหาร เป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่รับผิดชอบงานก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่ร่วมกับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ภายใต้ชื่อกิจการร่วมค้า “ITD-CREC”
จากการสอบสวนของตำรวจ คณะพนักงานสอบสวนได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานมากพอจนสามารถออกหมายจับได้ โดยมีการตั้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ควบคุม หรือดำเนินการก่อสร้างโดยมิชอบหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
3 กลุ่มผู้ถูกกล่าวหา: จากผู้ออกแบบถึงผู้ก่อสร้าง
คดีนี้มีการจำแนกผู้เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. กลุ่มผู้ออกแบบ (รวม 6 ราย)
บริษัท ฟอรัม อาร์คิเทค จำกัด
บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด
รวมทั้งวิศวกรที่ลงนามในแบบแปลนรวม 5 ราย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าออกแบบโดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ควรจะมีในอาคารสูงขนาดนี้
2. กลุ่มผู้ควบคุมงาน (รวม 5 ราย)
กิจการร่วมค้า PKW ซึ่งประกอบด้วย 3 บริษัทคือ
บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด
บริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จำกัด
ผู้ควบคุมงานเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลให้ทุกขั้นตอนของการก่อสร้างดำเนินไปอย่างถูกต้องตามหลักวิศวกรรม แต่กลับปล่อยให้เกิดความบกพร่องอย่างร้ายแรง
3. กลุ่มผู้รับจ้างก่อสร้าง (รวม 6 ราย)
บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
สองบริษัทนี้เป็นแกนหลักในกิจการร่วมค้า ITD-CREC และรับผิดชอบงานก่อสร้างโดยตรง
ทั้งสามกลุ่มนี้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในความผิดอย่างชัดเจน เพราะผลการสืบสวนระบุว่า อาคารดังกล่าวมีการใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มีปัญหาในการควบคุมคุณภาพ และที่ร้ายแรงที่สุดคือ มีการปลอมลายมือชื่อวิศวกรในเอกสารสำคัญ เพื่อปกปิดความผิดพลาดหรือสร้างเอกสารปลอมให้โครงการดูเหมือนถูกต้องตามขั้นตอน
คดีสะเทือนขวัญ: โศกนาฏกรรมตึกถล่ม
เหตุการณ์อาคารถล่มครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะบริเวณถนนกำแพงเพชร 2 ที่อาคาร สตง. กำลังก่อสร้างอยู่พอดี
แรงสั่นสะเทือนนั้นไม่ควรส่งผลให้เกิดการถล่มในอาคารที่ได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม ตึกสูง 30 ชั้นทั้งหลังถล่มลงมาอย่างรุนแรง ท่ามกลางความตกใจของผู้คนและแรงงานก่อสร้างจำนวนมากที่อยู่ภายใน ผลที่ตามมาคือ มีผู้เสียชีวิตทันที 89 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย บาดเจ็บทั่วไปอีก 8 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 11 ราย
เหตุการณ์นี้กลายเป็นข่าวใหญ่และเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในรอบปี โดยเฉพาะคำถามสำคัญว่า "ทำไมอาคารขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถึงถล่มได้ง่ายขนาดนี้?" และ "ใครควรต้องรับผิดชอบ?"
จุดเริ่มต้นของการสอบสวนและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
หลังเกิดเหตุ ทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการสอบสวนทันที มีการลงพื้นที่ เก็บหลักฐาน ตรวจสอบแบบแปลน รายงานโครงสร้าง และสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างละเอียด จนพบว่าการก่อสร้างนี้เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ทั้งการใช้วัสดุคุณภาพต่ำ การละเลยมาตรการควบคุมคุณภาพ และการปลอมแปลงเอกสาร
นอกจากนี้ยังพบพฤติการณ์ที่ส่อเจตนาทุจริตหรือประมาทเลินเล่อในระดับร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการปลอมลายเซ็นวิศวกร การใช้วัสดุราคาถูกแทนของที่ควรใช้ และการเร่งรัดโครงการโดยไม่สนใจความปลอดภัยของแรงงานและสาธารณชน
ความสำคัญของมาตรา 227 และ 238
การแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้อ้างอิงถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 และ 238 ซึ่งครอบคลุมความผิดเกี่ยวกับผู้ที่มีวิชาชีพด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด หรือจงใจละเว้นการกระทำบางอย่าง จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
หากผู้ต้องหาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง โทษอาจร้ายแรงถึงขั้นจำคุกหลายปี รวมทั้งการเพิกถอนใบอนุญาตวิชาชีพ และถูกเรียกค่าเสียหายมหาศาลจากญาติผู้เสียชีวิต
ความยุติธรรมที่ต้องเกิดขึ้น
คดีนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของวงการก่อสร้างในประเทศไทย ที่ทำให้ทุกฝ่ายต้องหันกลับมาทบทวนว่า ความปลอดภัยและมาตรฐานไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง
“เปรมชัย กรรณสูต” และผู้เกี่ยวข้องอีก 16 ราย อาจไม่ได้อยู่ในไซต์งานขณะเกิดเหตุ แต่ในฐานะผู้บริหารระดับสูงและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
การออกหมายจับครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการนำตัวบุคคลมารับโทษ แต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” โดยเฉพาะเมื่อมีชีวิตของคนบริสุทธิ์ต้องสังเวยจากความประมาทและไร้ความรับผิดชอบ

















