ช็อกใจ! "ลุงเอี่ยม" ผู้บริจาค 3 ล้านให้น้ำใจวัดไร่ขิง วันนี้กลับนั่งรถเข็นขายหวย ขณะที่เงินวัด 300 ล้านหายวับ
ชีวิตตรงข้ามฟ้ากับเหว “ลุงเอี่ยม” ขอทานใจพระ ผู้บริจาคเงินล้านให้วัดไร่ขิง ปัจจุบันนั่งรถเข็นขายหวยตากแดด ขณะที่เจ้าอาวาสวัดเดียวกัน ถูกออกหมายจับยักยอกเงิน 300 ล้านไปเล่นบาคาร่า
เรื่องราวที่สะเทือนใจและสะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำระหว่าง “จิตใจกุศล” กับ “อำนาจแฝงเร้น” กำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย หลังจากเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง “บิ๊กเกรียน” ได้เผยแพร่ภาพล่าสุดของ ลุงเอี่ยม คัมภิรานนท์ วัย 66 ปี อดีตขอทานผู้ใจบุญที่เคยบริจาคเงินเก็บทั้งชีวิตให้กับวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม รวมยอดบริจาคสูงถึงกว่า 3 ล้านบาท ปัจจุบันกลับต้องนั่งรถเข็นตากแดดร้อนขายลอตเตอรี่หน้าแผงร้านค้าใกล้วัดไร้ที่พักพิง ไม่มีแม้กระทั่งห้องเช่าให้หลบแดดฝน ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พระผู้ใหญ่ของวัดเดียวกัน คือ “พระธรรมวชิรานุวัตร” เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง กลับตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ยักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาทไปเล่นการพนันออนไลน์
จากเด็กพิการสู่ตำนานแห่งการให้ ลุงเอี่ยมกับหัวใจที่ยิ่งใหญ่
“ลุงเอี่ยม” เป็นชายชราผู้พิการจากโรคโปลิโอตั้งแต่ยังเยาว์วัย ต้องนั่งรถเข็นมาทั้งชีวิตและใช้การขายขนมรวมถึงขอทานตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นรายได้หลักกว่า 37 ปี ลุงไม่เคยคิดเอาเงินมาใช้เพื่อความสุขส่วนตัว กลับกัน เขามีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ คือ “การให้” ด้วยจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ลุงเอี่ยมได้ทยอยบริจาคเงินเก็บสะสมให้กับวัดไร่ขิง รวมแล้วกว่า 3 ล้านบาท
ไม่เพียงเท่านั้น ลุงเอี่ยมยังเคยบริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัวของ “สายัณห์ สัญญา” นักร้องลูกทุ่งผู้ล่วงลับ เป็นจำนวนหลักแสนบาท โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ สิ่งที่เขาทำ สะท้อนถึงพลังใจอันสูงส่งที่ไม่อาจวัดได้จากจำนวนเงินหรือตำแหน่งใด ๆ
ปัจจุบันที่โหดร้าย ลุงเอี่ยมต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
แม้จะเคยบริจาคเงินหลายล้านให้กับวัด แต่วันนี้ชีวิตของลุงเอี่ยมกลับตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา ไม่มีที่พักประจำ ต้องนั่งรถเข็นขายลอตเตอรี่กลางแดดร้อนจัดหน้าแผงขายของใกล้ ๆ วัดไร่ขิง ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับที่ลุงเคยนำเงินบริจาคไปอย่างไม่มีเงื่อนไข
ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่างตรงข้ามราวฟ้ากับเหว ภาพของชายชราผู้ใจบุญนั่งเฝ้ารอลูกค้าที่เดินผ่าน บางครั้งขายไม่ได้สักใบ บางวันต้องอดมื้อกินมื้อ ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเหลียวแลหรือช่วยสนับสนุนชีวิตบั้นปลายของเขาอย่างจริงจัง
สวนทางกับเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ผู้ถูกออกหมายจับฐานยักยอกเงินวัดไปเล่นบาคาร่า
ท่ามกลางความยากลำบากของลุงเอี่ยม กลับมีข่าวสะเทือนใจชาวพุทธเกิดขึ้น เมื่อมีรายงานว่า “พระธรรมวชิรานุวัตร” เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และเจ้าคณะภาค 14 ได้เดินทางเข้าพบตำรวจกองบัญชาการสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังจากที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติ หมายจับ ท่านในข้อหา ยักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท ไปใช้เล่นการพนันออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์บาคาร่า
การสืบสวนที่ดำเนินการอย่างลับ ๆ มากว่า 8 เดือนของตำรวจสอบสวนกลาง พบหลักฐานทางการเงินอันน่าตกตะลึง เงินจากบัญชีของวัดไร่ขิงถูกโอนไปยังบัญชีส่วนตัวของพระธรรมวชิรานุวัตร ก่อนจะถูกถ่ายโอนต่อไปยังบัญชีของหญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นนายหน้าเว็บพนันออนไลน์ ทำให้มีการนำเงินไปเติมเครดิตเล่นบาคาร่าอย่างต่อเนื่อง
เครือข่ายเงินไหลมากกว่า 500 ล้าน! เล่นจนเงินวัดร่อยหรอ ต้องหยิบยืมจากพระอื่นต่อ
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สืบสวนยังเผยอีกว่า เมื่อเงินจากวัดเริ่มร่อยหรอ พระธรรมวชิรานุวัตรยังได้หยิบยืมเงินจากพระผู้ใหญ่รูปอื่นในแวดวงสงฆ์อีกหลายล้านบาท เพื่อนำไปใช้เล่นพนันต่ออย่างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้เครือข่ายเงินหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้มียอดรวมสูงถึงกว่า 500 ล้านบาท และกำลังมีการขยายผลไปยังบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
ศรัทธาไหวหวั่น คนศรัทธาควรถามใจ – ถึงเวลายกเครื่องวงการสงฆ์?
กรณีของลุงเอี่ยมและพระธรรมวชิรานุวัตรเป็นตัวอย่างอันชัดเจนของ “ความแตกต่างระหว่างศรัทธาแท้” กับ “การแสวงหาผลประโยชน์แอบแฝง” ลุงเอี่ยมเป็นบุคคลธรรมดาไร้อำนาจ ไร้ที่พึ่งพิง แต่กลับมีจิตใจที่มั่นคงในคุณความดี กล้าสละสิ่งที่มีทั้งหมดให้กับพระพุทธศาสนา ขณะที่อีกฟากหนึ่ง เจ้าอาวาสผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำศาสนา กลับทำลายศรัทธาของประชาชนด้วยการนำเงินของวัดไปใช้ในทางที่ผิดอย่างร้ายแรง
สังคมเรียกร้องความยุติธรรมให้ “ลุงเอี่ยม” และตั้งคำถามต่อระบบ
หลังเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตจำนวนมากเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือลุงเอี่ยมอย่างเร่งด่วน รวมถึงเรียกร้องให้ตรวจสอบการบริหารเงินของวัดต่าง ๆ อย่างโปร่งใส ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปวงการพระสงฆ์ เพื่อให้สมกับคำว่า “ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ”
เพราะหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง “คนดี” อย่างลุงเอี่ยม ก็จะยังถูกมองข้าม ขณะที่ “คนฉ้อฉล” ก็ยังคงแอบแฝงอยู่ในเครื่องแบบของศาสนาอย่างไม่รู้จบ





