ศาลเมินประกันตัว สจ.กอล์ฟ หลังพบพฤติกรรมอุกอาจ-อาจยุ่งพยานหลักฐาน
ศาลไม่ให้ประกัน “สจ.กอล์ฟ” ลูกชาย ส.ส.ดัง พร้อมพวก รวม 7 ราย หลังรุมทำร้ายตำรวจกลางหน่วยเลือกตั้ง – คดีใหญ่ที่สังคมจับตามอง
สถานการณ์การเมืองท้องถิ่นกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์สุดอุกอาจในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน และกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อมวลชนทั้งประเทศให้ความสนใจ นั่นคือกรณีที่ นายสิรดนัย พลายด้วง หรือที่รู้จักในนาม “สจ.กอล์ฟ” ลูกชายของ นายสมยศ พลายด้วง ส.ส. เขต 3 จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมพวกรวม 7 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาหนัก หลังร่วมกัน รุมทำร้าย ด.ต.นิสาธิต คงเทพ กลางหน่วยเลือกตั้ง เพียงเพราะเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพในจุดที่อ่อนไหวต่อกระบวนการเลือกตั้ง
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงก่อนปิดหีบเลือกตั้งเพียงไม่นาน โดยมีรายงานว่า สจ.กอล์ฟและพวกไม่พอใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จึงเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง ก่อนจะพัฒนาไปสู่การรุมทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้น “ต่อหน้า ประชาชน และคณะกรรมการเลือกตั้งที่อยู่ในหน่วยเลือกตั้ง” อีกด้วย
ศาลสงขลามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว
ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสงขลาได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนคัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ต้องหาถูกมองว่า มีความอุกอาจ, อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, และ เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง
ศาลจึงมีคำสั่ง “ยกคำร้องขอประกันตัว” และอนุญาตให้ ฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดทันที ซึ่งส่งผลให้ สจ.กอล์ฟ และพรรคพวก ต้องถูกควบคุมตัวเข้า เรือนจำจังหวัดสงขลา ในทันทีที่พิจารณาคดีเสร็จสิ้น
ย้อนประวัติ “สจ.กอล์ฟ” – ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
นายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ ถือเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยวัยเพียง 27 ปี เขาถือเป็นทายาทของนักการเมืองระดับประเทศอย่าง นายสมยศ พลายด้วง หรือ “โกอีก” รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และเป็น ส.ส. ที่มีบทบาทในเขตภาคใต้มาอย่างยาวนาน
ประวัติการศึกษาของ สจ.กอล์ฟ ค่อนข้างน่าสนใจ โดยเขาจบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนกิตติวิทย์ บ้านพรุ และระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนพลวิทยา ก่อนจะย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนหานเจียง รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย และกลับมาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา จังหวัดนครศรีธรรมราช สาขาการปกครองท้องถิ่น
ในด้านการทำงาน สจ.กอล์ฟเคยดำรงตำแหน่ง อดีตรองประธานสโมสรฟุตบอลนครศรีฯ ยูไนเต็ด และยังเคยทำงานเป็น ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นทางชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและระบบราชการมาตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะลงสมัครและชนะการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สงขลา เขต 7 ในนามกลุ่ม "สงขลาพลังใหม่"
สังคมตั้งคำถาม: พฤติกรรมเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่กับสถานะนักการเมือง?
หลังข่าวการจับกุมถูกเผยแพร่ออกไป ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคม ทั้งในโลกออนไลน์และวงการเมือง โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “นักการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้หรือไม่?” และ “ทำไมถึงใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกลางสถานที่ราชการเช่นหน่วยเลือกตั้ง?”
นอกจากความไม่เหมาะสมในแง่จริยธรรมแล้ว หลายฝ่ายยังชี้ว่า พฤติกรรมของ สจ.กอล์ฟ และพรรคพวก อาจ เข้าข่ายความผิดทางอาญาร้ายแรง โดยเฉพาะข้อหา ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธ และยังมี ข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์พรรคการเมือง
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือการที่ผู้ก่อเหตุเป็นบุตรชายของนักการเมืองระดับประเทศ ซึ่งมีตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงท่าทีของพรรคในการรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัวของผู้แทนราษฎรของตน
แม้จะยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ แต่ก็มีความคาดหวังจากสังคมให้พรรคออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ว่าจะดำเนินการตรวจสอบภายใน และไม่ปกป้องผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นใครหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในพรรคมากน้อยเพียงใด
บทสรุป: การเมืองท้องถิ่นต้องยึดกฎหมายและจริยธรรม
กรณีของ สจ.กอล์ฟ ถือเป็น บทเรียนสำคัญสำหรับนักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ ที่จำเป็นต้องยึดหลักกฎหมายและจริยธรรม ไม่เพียงแต่ต่อหน้าประชาชน แต่ในทุกการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเมืองทั้งระบบ
แม้คดีนี้จะยังอยู่ในกระบวนการของศาล และผู้ต้องหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามหลักกฎหมายจนกว่าจะมีคำพิพากษา แต่การกระทำในลักษณะที่อุกอาจและก้าวร้าวต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมไม่อาจยอมรับได้ ไม่ว่าจะในบริบทใดก็ตาม



















