แสบจัด! นักท่องเที่ยวเปลี่ยนล้อหนีล็อคล้อ แต่ดันเจอตำรวจพอดี
นักท่องเที่ยวหัวใส เจอล็อคล้อที่ภูเก็ต พยายามใช้ล้อสแปร์เปลี่ยนหนีตำรวจ แต่ไม่รอด โดนรวบทันควัน!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สุดฮาแต่ก็แฝงด้วยอุทาหรณ์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง "ภูเก็ต" ซึ่งล่าสุดได้เกิดเรื่องราวที่กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ เมื่อชายชาวต่างชาติรายหนึ่ง พยายามหลบเลี่ยงการถูกลงโทษจากการจอดรถในที่ห้ามจอด ด้วยวิธีสุดแปลกแหวกแนว คือ เปลี่ยนยางล้อที่ถูกล็อกออก แล้วใส่ล้ออะไหล่ (ล้อสแปร์) แทน!
เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่โดยเพจดังในท้องถิ่นอย่าง "ขับรถแบบนี้ต้องประจานภูเก็ต" ซึ่งมักจะนำเสนอคลิปและเรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมบนท้องถนนที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยคลิปวิดีโอที่ถูกแชร์ออกไปในครั้งนี้นั้น เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบริเวณ ถนนดีบุก ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการติดป้ายห้ามจอดรถชัดเจนตลอดแนวถนน
ในคลิปเผยให้เห็นชายชาวต่างชาติรายหนึ่ง ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็น ชาวตูนีเซีย กำลังง่วนอยู่กับการใช้แม่แรงยกรถยนต์ขึ้น แล้วพยายามถอดล้อหน้าที่ถูกล็อกโดยเจ้าหน้าที่ออก ก่อนจะใส่ล้อสแปร์เข้าไปแทน เพื่อหวังจะขับรถออกจากพื้นที่โดยไม่ต้องเสียค่าปรับจากการล็อกล้อ
แต่แล้วก็ "โป๊ะแตก" อย่างแรง! เพราะขณะที่ชายคนดังกล่าวกำลังดำเนินการเปลี่ยนล้อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจากสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ซึ่งนำโดย พ.ต.ท.กมลาสณ์ นิยมเขต รองผู้กำกับการจราจร ก็ขับรถสายตรวจผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงได้เข้าตรวจสอบและควบคุมตัวชายคนดังกล่าวทันที
ผิดเต็มประตู! โดนข้อหาเพียบ
เมื่อสอบถามและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบว่าชายตูนีเซียรายนี้ ไม่มีใบขับขี่ในประเทศไทย และยังพยายามกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรด้วยการ ถอดล้อที่ถูกล็อกโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 อย่างชัดเจน
โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาทั้งหมด 2 ข้อหาหลัก ได้แก่:
1. พยายามเคลื่อนย้ายรถที่เจ้าพนักงานออกคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 59 ประกอบมาตรา 159 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522
2. ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาต (ไม่มีใบขับขี่)
เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวชายคนดังกล่าว ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และต่อไปยังศาลเพื่อพิจารณาความผิดตามกระบวนการ
เจ้าของรถก็ไม่รอด โดนข้อหา "ให้เช่ารถโดยไม่ตรวจสอบใบขับขี่"
ในขณะเดียวกัน จากการสอบสวนเพิ่มเติม พบว่ารถยนต์ที่ชายคนดังกล่าวใช้นั้น เป็นรถเช่าจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งไม่ได้ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนส่งมอบรถให้กับนักท่องเที่ยว เนื่องจากพบว่าผู้เช่ารายนี้ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ที่ถูกต้องในประเทศไทย
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหากับเจ้าของรถเช่าในฐานะผู้ให้เช่า โดยตั้งข้อหา:
"ยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ เข้าขับรถของตน" ตามมาตรา 57 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522
และทำการ เปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 2,000 บาท ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่เจ้าของธุรกิจให้เช่ารถจะต้องตระหนักถึงอย่างมากในกรณีนี้
อุทาหรณ์สำหรับนักท่องเที่ยว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจหรือเพิกเฉยต่อกฎจราจรของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก และบางครั้งอาจประสบกับการทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว หรือในบางกรณีก็อาจเจตนาละเมิดกฎจราจรด้วยความคิดว่า "คงไม่มีใครจับ" หรือ "เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย"
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในพื้นที่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กฎหมายคือกฎหมาย ไม่ว่าใครก็ต้องเคารพ และการกระทำของชายคนดังกล่าว ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองต้องโดนดำเนินคดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เจ้าของธุรกิจให้เช่ารถต้องเสียค่าปรับตามไปด้วย
โซเชียลแห่แชร์ ชื่นชมตำรวจภูเก็ต
หลังคลิปถูกเผยแพร่ ชาวเน็ตในโลกออนไลน์ต่างพากันแชร์และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจภูเก็ตที่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ทันเวลา บางคนถึงกับแซวว่า "ไอเดียดีแต่ดันโป๊ะ!" หรือ "คงคิดว่าไทยแลนด์ไม่มีตำรวจมั้ง" ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้มีการควบคุมธุรกิจให้เช่ารถให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดเหตุลักษณะนี้ซ้ำอีก
สรุป
เหตุการณ์ “นักท่องเที่ยวหัวใส เปลี่ยนล้อหนีตำรวจ” ในครั้งนี้ เป็นมากกว่าแค่เรื่องตลกหรือไวรัลโซเชียล เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการเคารพกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรในจังหวัดภูเก็ต ที่มีทั้งความเข้มงวดและรวดเร็วในการจับกุมผู้กระทำผิดในพื้นที่
หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือเพื่อให้การท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นไปอย่างปลอดภัยและน่าประทับใจสำหรับทุกฝ่าย

















