เด็กหญิงวัย 13 หนีตามแฟนแต่ได้เจอนรก!โดนส่งต่อ-ทำร้าย สุดท้ายแม่ต้องพึ่ง ‘กัน จอมพลัง’
สุดสะเทือนใจ! เด็กหญิงวัย 13 หนีออกจากบ้านเพราะรัก ถูกแฟนหนุ่มผลักไสไม่เหลือเยื่อใย ส่งต่อให้กลุ่มรุ่นพี่รุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม “กัน จอมพลัง” รับเรื่องช่วยเหลือ ดันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมเตือนสติเยาวชนอย่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับใครง่ายๆ
ในสังคมยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ทำให้เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เปราะบาง โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ล่าสุด “กัน จอมพลัง” นักเคลื่อนไหวทางสังคมที่เป็นที่รู้จักจากการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ได้รับเรื่องร้องเรียนจากแม่บุญธรรมของเด็กหญิงวัยเพียง 13 ปี รายหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายเกินจะรับไหว
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงวัย 13 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปอยู่กับแฟนหนุ่มที่จังหวัดสระแก้ว แม้จะเป็นการตัดสินใจด้วยความรักและไว้ใจ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมในชีวิต เมื่อแฟนหนุ่มที่เธอรักเกิดเปลี่ยนใจและไม่ต้องการคบหาต่อ เขาจึงตัดสินใจนำตัวเธอไป “ฝาก” ให้กับกลุ่มรุ่นพี่ของตนเอง พร้อมกับคำสั่งที่ทำให้หลายคนต้องตกตะลึง—ให้พวกเขารุมทำร้ายเธอ
เด็กหญิงผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสา ถูกกลุ่มชายรุ่นพี่ใช้กำลังทำร้ายร่างกายอย่างทารุณ โหดเหี้ยม เธอถูกมัดเท้า และถูกชกต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างไม่ปรานี จนถึงขั้นหมดสติ ขณะที่การทำร้ายดำเนินไปอย่างน่าสะพรึง ผู้ก่อเหตุยังได้ถ่ายคลิปวิดีโอเก็บไว้ พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ย สะท้อนถึงความไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด
สิ่งที่เจ็บปวดและบีบหัวใจยิ่งกว่าการถูกทำร้าย คือขณะที่เธอยังพยายามร้องไห้ ขอความช่วยเหลือจากแฟนหนุ่มคนเดิม หวังเพียงให้เขาปกป้องหรืออย่างน้อยก็เห็นใจ แต่กลับได้รับเพียงความเย็นชา เขาไม่เพียงไม่ช่วย ยังผลักไสไล่ส่งเธออย่างไร้เยื่อใย ทำเหมือนเธอไม่มีค่า ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่ต่างอะไรกับการโยนทิ้งเศษผ้าขาดๆ ชิ้นหนึ่ง
หลังจากการรุมทำร้าย กลุ่มผู้ก่อเหตุได้พยายามนำตัวเด็กหญิงไปทิ้งในที่เปลี่ยว แต่ด้วยความสิ้นหวังและไม่รู้จะไปพึ่งใคร เธอยังมีแรงพอที่จะวิ่งตามกลุ่มผู้ก่อเหตุไป หวังเพียงขอความเห็นใจให้พาเธอไปโรงพยาบาล ท้ายที่สุด เด็กหญิงก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยมีกลุ่มผู้ก่อเหตุตามไปด้วย และพยายามอ้างต่อเจ้าหน้าที่ว่าการบาดเจ็บเกิดจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้ม
เมื่อแม่บุญธรรมของเด็กหญิงทราบเรื่อง จึงรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลทันที และได้ฝากเงินไว้ให้ลูกสาวใช้จ่าย แต่แทนที่เงินนั้นจะถึงมือเด็กหญิง กลุ่มผู้ก่อเหตุกลับฉวยโอกาสขโมยไปอย่างหน้าตาเฉย
ความจริงทั้งหมดมาเปิดเผยในภายหลัง เมื่อแม่บุญธรรมของเด็กหญิงได้เห็นคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายลูกสาวไว้ และนั่นก็ทำให้เธอได้รู้ว่า ลูกสาวไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ แต่ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม เธอจึงตัดสินใจเข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก “กัน จอมพลัง”
กัน จอมพลัง หลังจากได้รับฟังเรื่องราวที่แสนสะเทือนใจ ก็รับปากว่าจะเร่งให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงรายนี้โดยทันที พร้อมนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด เพื่อเอาผิดผู้กระทำความผิดทุกคน และส่งเสียงแทนผู้เคราะห์ร้ายให้สังคมได้รับรู้
เขายังฝากข้อคิดสำคัญไว้ให้เด็กและเยาวชน โดยกล่าวว่า
“ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่... ผู้ชายมันยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ แล้วหนูจะไปฝากชีวิตไว้ที่มันได้ยังไง... และคนที่หนูทิ้งไปคือคนที่เขาช่วยหนูในทุกเวลา ไม่ใช่เหรอ”
คำพูดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเตือน แต่เป็นความจริงอันเจ็บปวดที่หลายคนต้องเรียนรู้ในวันที่สายเกินไป คนที่เราคิดว่าเขารัก บางครั้งอาจเป็นคนที่พร้อมจะทำร้ายเราทุกเมื่อ โดยเฉพาะในวัยที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะมองเห็นความจริง หรือประเมินภัยร้ายได้อย่างรอบด้าน
นอกจากนี้ กัน จอมพลัง ยังกล่าวตำหนิแฟนหนุ่มของเด็กหญิงอย่างรุนแรงว่า
“ไอผู้ชาย...มรึงมันไม่แมนเลยหว่ะ!”
คำพูดสั้นๆ นี้แต่เจ็บแสบ แสดงออกถึงความผิดหวังที่มีต่อพฤติกรรมของชายหนุ่มผู้ซึ่งควรจะทำหน้าที่ปกป้อง กลับเป็นผู้เริ่มต้นหายนะครั้งนี้เสียเอง
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำร้ายร่างกาย แต่ยังเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก เป็นการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมที่ยังขาดระบบป้องกันและช่วยเหลือเด็กที่มีความเสี่ยงอย่างทันท่วงที
ในขณะที่หลายคนบนโลกโซเชียลต่างแสดงความโกรธเคืองและเรียกร้องให้ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด ก็เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน—ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และครอบครัว—ที่จะช่วยกันป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก
เด็กหญิงวัย 13 ปี รายนี้อาจเป็นเพียงหนึ่งเสียงที่ได้ถูกพูดถึง แต่ยังมีเด็กอีกมากมายที่ยังไม่สามารถเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ในเวลาที่เหมาะสม
อย่าปล่อยให้ความเจ็บปวดครั้งนี้เงียบหายไปกับกาลเวลา แต่ขอให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในสังคม และเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนให้ทุกคนรู้ว่า “ความรักที่แท้จริง” คือความรักจากคนในครอบครัวที่พร้อมอยู่เคียงข้างในทุกเวลา ไม่ใช่ใครบางคนที่แค่พูดว่ารัก แต่กลับพร้อมจะทอดทิ้งเราได้ในวันที่หมดประโยชน์






