โดนติงทั่วโซเชียล! หนุ่ม กรรชัยดุทีมงาน แต่พอฟังสาเหตุแล้วมีสะอึก
เบื้องหลัง “หนุ่ม กรรชัย” ดุทีมงานกลางรายการสด ปมเซ็นเซอร์หลุด-ภาพไม่พร้อม ไม่ใช่อารมณ์ร้อน แต่คือภาระที่แบกไว้คนเดียว
ในยุคที่สื่อโทรทัศน์ยังทรงอิทธิพล และรายการสดยังคงเป็นหัวใจของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร หนึ่งในพิธีกรที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในแวดวงนี้คือ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผู้ดำเนินรายการ โหนกระแส ที่มักจะพาผู้ชมไปอยู่ในจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์ร้อนแรงในสังคมไทย ทว่าช่วงหลัง ๆ มานี้ แฟนรายการหลายคนเริ่มสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวมีอาการเหมือน “หัวร้อน” หรือ “ดุทีมงาน” ระหว่างรายการมากขึ้น จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาในโลกออนไลน์เกี่ยวกับพฤติกรรมดังกล่าว
เมื่อ “คำดุ” ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่คือระบบการทำงานที่เดิมพันด้วยความถูกต้องทางกฎหมาย
ล่าสุด วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ได้มีความเคลื่อนไหวจากบุคคลใกล้ชิดพิธีกรชื่อดัง นามว่า Pook Sukonta Berthebaud ซึ่งออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเปิดเผยถึงเบื้องหลังที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกลางรายการสด โดยระบุว่า สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นการดุว่าทีมงาน หรืออาการอารมณ์ขึ้นนั้น แท้จริงคือ ความกดดันระดับสูงของรายการสดที่ไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่วินาทีเดียว
“โหนกระแส” ซึ่งเป็นรายการสดที่มีความเข้มข้นของเนื้อหาเกี่ยวกับคดีความ เหตุการณ์ร้อน และบุคคลที่อยู่ในกระแสสังคม จำเป็นต้องมีการควบคุมภาพ เสียง ข้อมูล กราฟิก และโดยเฉพาะ การเซ็นเซอร์ อย่างเคร่งครัด หากมีข้อมูลใดที่เล็ดรอดออกไป เช่น ชื่อของโรงแรม ร้านอาหาร หรือใบหน้าของบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็อาจนำมาซึ่งคดีความทันที — และผู้ที่จะต้องรับผิดชอบไม่ใช่ทีมกราฟิก หรือทีมเบื้องหลังเท่านั้น แต่รวมถึงพิธีกรอย่าง “หนุ่ม กรรชัย” และสถานีที่ออกอากาศรายการ
“ถ้าคุณเป็นหมอผ่าตัด แล้วพยาบาลส่งเครื่องมือผิด คุณจะไม่ตะโกนหรอ?”
หนึ่งในข้อความที่เปรียบเทียบสถานการณ์รายการสดกับห้องผ่าตัด โดยระบุว่า “หนุ่ม กรรชัย ก็เปรียบเสมือนศัลยแพทย์” ที่ต้องควบคุมสถานการณ์ทุกอย่าง หากภาพขึ้นไม่ตรงกับสิ่งที่พูด กราฟิกไม่มา เซ็นเซอร์ไม่ครบ หรือจังหวะผิดพลาดแม้เพียงวินาทีเดียว ก็เท่ากับว่างานผ่าตัดนั้นอาจพลาดจนเกิด “ความเสียหายใหญ่หลวง” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผู้ชมอาจจะเห็นเป็นเพียงภาพการ “ดุ” หรือ “อารมณ์เสีย” ในรายการ แต่ไม่เห็นเบื้องหลังของความตึงเครียดที่คนเบื้องหน้าอย่างพิธีกรต้องแบกรับเอาไว้เพียงลำพัง
Pook Sukonta Berthebaud ยังเล่าด้วยว่า พิธีกรเองก็อยากจะระบายความรู้สึกบางครั้งผ่านโซเชียล แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะกลัวว่าจะทำให้ทีมงานถูกกระแสโจมตีอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่เขาทำได้คือการรับความกดดันทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว และพยายามจัดการทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์จริง
ไม่ใช่เพราะ “วัยทอง” แต่เพราะแรงกดดันจากการทำงานระดับสูง
อีกประเด็นที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคือ “อาการหัวร้อน” ของหนุ่ม กรรชัย มาจากภาวะทางร่างกายหรืออารมณ์ เช่น วัยทอง หรือสุขภาพจิตที่ไม่ปกติ แต่จากคำชี้แจงของ Pook Sukonta Berthebaud ชัดเจนว่า “ไม่ใช่” พิธีกรดังยังแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แต่อาจมีความเครียดและความกดดันจากความรับผิดชอบมหาศาลในการรายงานสดในรายการที่ผู้ชมทั่วประเทศเฝ้าดูอยู่แบบนาทีต่อนาที
“หนุ่ม” ไม่สามารถผิดพลาดได้ และในความเป็นจริง เขาก็ไม่ได้อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ ความดุจึงไม่ใช่การแสดงออกจากนิสัย แต่เป็น “ภาวะจำเป็น” เพื่อให้ระบบการทำงานเดินหน้าอย่างราบรื่น และเพื่อปกป้องตัวเขาเองและสถานีโทรทัศน์จากการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นได้ในพริบตา
โลกโซเชียลเริ่มเข้าใจ พร้อมเสียงสนับสนุนจาก Drama-addict
หลังจากที่โพสต์ของ Pook Sukonta Berthebaud ถูกเผยแพร่ มีผู้คนในสังคมออนไลน์จำนวนมากแห่แชร์และแสดงความคิดเห็นในเชิงเข้าใจและให้กำลังใจ หนึ่งในนั้นคือเพจดังอย่าง Drama-addict ที่ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวพร้อมแคปชั่นว่า “น่าเห็นใจเสียหน่วง” ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า เบื้องหลังของอารมณ์ที่แสดงออกในรายการสด อาจมีอะไรมากกว่าที่คนดูมองเห็น
เมื่อความเป็นมืออาชีพต้องแลกด้วยความเข้าใจผิด
กรณีของหนุ่ม กรรชัย จึงกลายเป็นหนึ่งในบทเรียนที่น่าสนใจของวงการสื่อว่า ความเป็นมืออาชีพสูงสุดในรายการสดนั้นต้องแลกมาด้วยภาระ ความเสี่ยง และความเข้าใจผิดจำนวนไม่น้อย พิธีกรในสถานการณ์กดดันสูง ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอหรือแสดงอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ เพราะทุกอย่างอาจกระทบกับคนอื่นทั้งทีม
การทำงานเบื้องหน้ากล้องที่ดูเรียบง่ายนั้น แท้จริงกลับเต็มไปด้วยการประสานงาน การควบคุมรายละเอียด และความระมัดระวังอย่างเข้มงวดทุกวินาที และสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่ “หนุ่ม กรรชัย” ต้องเผชิญในทุกเทปของ “โหนกระแส”
กรณีที่คนดูตั้งข้อสังเกตว่า “หนุ่ม กรรชัย” ดุทีมงานในรายการสด แท้จริงแล้วเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งที่เรียกว่า “ความรับผิดชอบ” เท่านั้น หากเราลองมองลึกลงไปในโครงสร้างของการทำงานแบบสด เราจะพบว่าทุกวินาทีคือการเดิมพันที่ต้องแลกด้วยความแม่นยำสูงสุด และหากมีเพียงจุดผิดพลาดเดียว อาจหมายถึงความเสียหายระดับใหญ่หลวงที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ดังนั้น การ “ดุ” หรือ “ตำหนิ” ที่ออกอากาศ อาจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้รักษาระบบการทำงานให้เดินหน้าได้ และควรได้รับการพิจารณาด้วยความเข้าใจ มากกว่าการตัดสินเพียงจากอารมณ์ชั่ววูบหรือมุมมองที่ไม่ได้เห็นทั้งภาพ
คุณคิดอย่างไรกับสถานการณ์นี้ในวงการสื่อ?















