จีนและมะกันเตรียมเจรจาการค้า
จีนและอเมริกา มีกำหนดจัดการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยปักกิ่งย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อการเจรจาและความร่วมมือ พร้อมทั้งปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนอย่างมั่นคง ในขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าที่ริเริ่มโดยอเมริกา ทวีความรุนแรงมากขึ้น
นักวิเคราะห์กล่าวว่าแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศของอเมริกา อาจทำให้วอชิงตันต้องกลับมาที่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่าประชาคมโลกกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า การเจรจาที่กำลังจะมีขึ้นนี้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจโลก มีความมั่นคงขึ้นได้หรือไม่ และ เป็นจุดเปลี่ยนในการคลายความตึงเครียด ด้านการค้าและแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่าง 2 เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ผ่านการเจรจากันหรือไม่?
กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยันว่า "รองนายกรัฐมนตรี "เหอ หลี่ เฟิง" ผู้นำฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา จะเข้าพบผู้นำฝ่ายเศรษฐกิจและการค้าของอเมริกา คือ "สก็อตต์ เบสเซนต์" ในระหว่างการเยือนสวิตเซอร์แลนด์ของ "เหอ หลี่ เฟิง" ตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันจันทร์นี้ กระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า "การเจรจาดังกล่าว มีกำหนดจัดขึ้นตามคำขอของอเมริกา"
การสนทนาดังกล่าวถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ ต่อสาธารณชนครั้งแรกระหว่าง 2 เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ตัดสินใจจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างหนัก ส่งผลให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าสู่สงครามการค้า
ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมมือกับวอชิงตัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกา ได้ส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนมาตรการภาษีศุลกากร และ ได้ส่งข้อความเชิงรุกผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อแสดงความต้องการที่จะร่วมเจรจากับจีน เกี่ยวกับภาษีศุลกากรและประเด็นที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์อเมริกา
"สก็อตต์ เบสเซนต์" กล่าวว่า "ทั้ง 2 ฝ่าย จะประชุมกันในวันเสาร์และวันอาทิตย์ เพื่อวางรากฐานสำหรับการเจรจาในอนาคต" และ "ความรู้สึกของผมคือเรื่องนี้ จะเกี่ยวกับการลดระดับความตึงเครียด ไม่ใช่เรื่องข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ แต่เราต้องลดระดับความตึงเครียดลงก่อนจึงจะเดินหน้าต่อไปได้" และ "ภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้าในปัจจุบันนั้นไม่ยั่งยืน แต่เราไม่อยากแยกออกจากกันได้"
ถึงแม้นักวิเคราะห์จะมองการเจรจาเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่พวกเขากล่าวว่าการเจรจายังคงเป็นสัญญาณว่ายังคงมีความเป็นไปได้ ในการพูดคุยและร่วมมือกัน ซึ่งจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดด้านการค้าและเพิ่มความมั่นใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง ให้กับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีน "โรบิน ซิง" ของ "มอร์แกน สแตนลีย์" กล่าวว่า "เราเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายหวังว่าจะบรรลุข้อตกลงที่ครอบคลุมได้ ขั้นตอนปัจจุบันของการยกระดับความรุนแรงร่วมกัน และ มาตรการตอบโต้ระหว่างทั้ง 2 ประเทศอาจคลี่คลายลงชั่วคราว"
"โรบิน ซิง" กล่าวอีกว่า "เนื่องจากมีปัญหาต่างๆมากมาย ที่เกี่ยวข้องและความแตกต่างอย่างมากระหว่าง 2 ฝ่ายในหลายด้าน การเจรจาจึงมีความซับซ้อนมาก และ จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะเสร็จสมบูรณ์" และ "หากอเมริกาต้องการเจรจา ประตูของเราเปิดอยู่เสมอ แต่หากคุณพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง หรือ แม้แต่พยายามใช้การเจรจาเป็นข้ออ้าง ในการบีบบังคับและกรรโชกต่อไป จีนจะไม่มีวันยอม และ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเสียสละจุดยืนตามหลักการ ความยุติธรรมในระดับนานาชาติ และ ความยุติธรรมเพื่อแสวงหาข้อตกลงใดๆ" และ "การเจรจาจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน การเคารพซึ่งกันและกัน การปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียมกัน และ ผลประโยชน์ร่วมกัน"
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ "หลัว จื้อ เฮิง" ของบริษัทหลักทรัพย์ยูไก กล่าวว่า "การใช้มาตรการภาษีศุลกากรอย่างกว้างขวางของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอเมริกา" และ "สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงในระดับนานาชาติ" และ "เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลเสียต่ออเมริกาในที่สุด" และ "สิ่งที่จีนต้องทำตอนนี้ คือ เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ เป็นศูนย์กลางการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก โดยเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดที่อเมริกาทิ้งเอาไว้ ในฐานะชุมชนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน จีนจะได้มิตรมากขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้มีอำนาจต่อรองกับอเมริกามากขึ้น"












