รอดคุก! ศาลพิพากษาแก้ แอมมี่ The Bottom Blues ไม่ผิด ม.112 โดนแค่ปรับ 200 บาท
ศาลพิพากษาแก้ แอมมี่ The Bottom Blues รอด คดี ม.112 ขณะที่ ฟ้า พรหมศร โดนพิพากษาจํา คุก 2 ปี ปรับคนละ 200 บาท
วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ศาลจังหวัดธัญบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ภายใต้ข้อกล่าวหาตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่รู้จักกันในชื่อคดี "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ซึ่งตกเป็นข่าวโด่งดังมาตั้งแต่ปี 2564 โดยมีบุคคลที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนเป็นจำเลยสองราย ได้แก่ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือที่รู้จักกันในนาม “แอมมี่ The Bottom Blues” และ นายพรหมศร วีระธรรมจารี หรือ “ฟ้า” นักกิจกรรมทางการเมืองที่มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
คำพิพากษาครั้งนี้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับการจับตามองอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับทั้ง มาตรา 112 และ พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในกิจกรรมการเมืองของกลุ่มนักเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันหลักของประเทศทวีความเข้มข้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ต้นเหตุของคดี : การปราศรัยเรียกร้องปล่อยตัวนักศึกษา
คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำกิจกรรมหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เพื่อ เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสิริชัย นาถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ถูกจับกุมตามหมายจับในคดีความมั่นคงในขณะนั้น
ในการชุมนุมดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้ทำการ ปราศรัย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงในการร้องเพลง โดยมีเนื้อหาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเหตุการณ์นี้เองได้กลายเป็นที่มาของการดำเนินคดีทั้งในข้อหา มาตรา 112 และการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลชั้นต้น : ฟ้าผิด-แอมมี่ไม่รอด
ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาว่า “ฟ้า” มีความผิดตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาท โดยตัดสินให้ลงโทษจำคุก 4 ปี นอกจากนี้ยังมีความผิดฐานร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟ้าให้การรับสารภาพ ทำให้ศาลลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 100 บาท ส่วน “แอมมี่” ศาลชั้นต้นตัดสินให้ ไม่มีความผิดตามมาตรา 112 แต่มีความผิดในส่วนของการใช้เครื่องขยายเสียงเช่นเดียวกัน จึงปรับเป็นจำนวนเงิน 200 บาท
ทั้งโจทก์และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยจำเลยขอให้รอการลงโทษ ขณะที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณาความผิดของแอมมี่ตามมาตรา 112
คำตัดสินศาลอุทธรณ์ภาค 1 : ยืนยันโทษฟ้า – แอมมี่พ้นผิดมาตรา 112
เมื่อพิจารณาถึงศาลอุทธรณ์ภาค 1 พบว่ามีการวินิจฉัย 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. อุทธรณ์ของฟ้า พรหมศร
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นลงโทษอย่างเหมาะสมแล้ว โดยมีการพิจารณาพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดว่าเป็นการแสดงออกที่มีทัศนคติเป็น "ปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ และเนื่องจากการกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ว่าฟ้าจะไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่ก็ยังไม่มีเหตุอันสมควรในการรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์จึง ยืนยันคำตัดสินเดิม คือจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และปรับ 200 บาท
2. อุทธรณ์ของโจทก์ต่อแอมมี่
ในส่วนของแอมมี่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ ยังมีข้อสงสัยตามสมควร ว่าแอมมี่ได้ร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 112 ร่วมกับฟ้าจริงหรือไม่ เมื่อมีข้อสงสัย ศาลจึงให้ ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ส่งผลให้แอมมี่พ้นผิดในส่วนนี้ คงเหลือเพียงโทษปรับตามพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาเป็นเงิน 200 บาทเท่านั้น
มุมมองด้านสิทธิเสรีภาพและผลสะเทือนทางสังคม
คำพิพากษาครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในคดีที่สะท้อนถึงแนวทางการตีความและบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่สังคมไทยถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ความแตกต่างของผลลัพธ์ระหว่างฟ้ากับแอมมี่สะท้อนให้เห็นว่า การดำเนินคดีภายใต้กฎหมายที่มีเนื้อหากว้างและคลุมเครือสามารถส่งผลที่แตกต่างกันได้อย่างมาก แม้จำเลยจะอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันก็ตาม
ทั้งนี้ การให้แอมมี่พ้นผิดในข้อหาหลักโดยยึดหลัก “ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย” ถือเป็นหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรม และอาจถูกมองว่าเป็นการตัดสินที่ยังคงไว้ซึ่งสมดุลระหว่างกฎหมายกับสิทธิมนุษยชน
ในทางกลับกัน การที่ฟ้าถูกตัดสินให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญา แสดงให้เห็นว่าศาลให้ความสำคัญต่อการตีความการกระทำที่กระทบต่อสถาบันสูงสุดของประเทศอย่างเข้มงวด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการแสดงออกทางการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและนักกิจกรรมที่มุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงสังคม
ข้อสังเกตจากภาคประชาชนและนักกฎหมาย
หลายองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นต่อคดีนี้ว่า แม้ศาลจะยกประโยชน์ให้แอมมี่ แต่ก็ยังมีความกังวลต่อแนวโน้มของการนำมาตรา 112 มาใช้ในลักษณะ "จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก" ซึ่งอาจส่งผลให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวกับสถาบัน แม้จะมีเจตนาที่สร้างสรรค์หรืออยู่ในขอบเขตของความคิดเห็นทางการเมืองก็ตาม
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีนี้นอกจากจะเป็นเครื่องสะท้อนความแตกต่างของการตีความทางกฎหมายแล้ว ยังเป็นกระจกสะท้อนภาพของสังคมไทยในยุคที่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความหวังของคนรุ่นใหม่
ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่กับคำตัดสินนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ คดีนี้จะยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญของการใช้มาตรา 112 และการรักษาสมดุลระหว่าง ความมั่นคงของสถาบัน กับ เสรีภาพของประชาชน



