ดราม่าสะเทือนใจ! สาวอิสราเอลเหยียดไทยแรง ไทยอยู่ได้เพราะเงินนักท่องเที่ยว?
ดราม่านักท่องเที่ยวสาวอิสราเอล บนเกาะพะงัน จุดไฟโซเชียลเดือด แค่ประโยคเดียวจุดชนวนวาทกรรมดูหมิ่นประเทศไทย?
กลายเป็นหนึ่งในดราม่าร้อนแรงแห่งปี ที่สั่นสะเทือนความรู้สึกของชาวไทยจำนวนไม่น้อย สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อมีนักท่องเที่ยวหญิงชาวอิสราเอลรายหนึ่ง แสดงพฤติกรรมและกล่าวถ้อยคำบางอย่างที่ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากมองว่าเป็นการ "ดูถูกประเทศไทย" หรือ "เหยียดวัฒนธรรมไทย" ซึ่งกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโลกออนไลน์ พร้อมตั้งคำถามต่อบทบาทของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กับความเคารพที่พึงมีต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น
จุดเริ่มต้นที่ร้านอาหารเล็ก ๆ บนเกาะพะงัน
ต้นเหตุของเหตุการณ์นี้ เริ่มต้นที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนเกาะพะงัน ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร้านอาหารดังกล่าวมีกฎพื้นฐานเช่นเดียวกับร้านแบบดั้งเดิมหลายแห่งในประเทศไทย คือ “ห้ามใส่รองเท้าเข้าไปในพื้นที่ร้าน” อันเป็นขนบธรรมเนียมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยซึ่งให้ความสำคัญกับความสะอาดภายในพื้นที่อยู่อาศัยหรือรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวสาวชาวอิสราเอลคนดังกล่าว กลับแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน เมื่อมีผู้ร้องขอให้เธอถอดรองเท้า โดยในคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ เธอได้กล่าวประโยคที่กลายเป็นประเด็นทันทีว่า
“เงินของนักท่องเที่ยวอย่างฉันใช้สร้างประเทศไทย”
คำพูดนี้กลายเป็น “น้ำมันราดกองเพลิง” จุดกระแสดราม่าโซเชียลให้ลุกโชน เพราะหลายคนตีความว่า เป็นการมองว่าประเทศไทยอยู่ได้ด้วยเงินจากนักท่องเที่ยวอย่างเธอ และไม่ให้คุณค่าต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นเลยแม้แต่น้อย
สื่อออนไลน์จุดประเด็น – สังคมวิพากษ์หนัก
เพจ “Koh Phangan Conscious Community” ซึ่งเป็นเพจของกลุ่มชุมชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมบนเกาะ ได้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวในวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 จนกลายเป็นไวรัลทันที
ชาวโซเชียลทั้งในไทยและต่างประเทศ ต่างเข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของหญิงสาวในคลิป บ้างก็มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ “อ้างสิทธิ์ในความเป็นลูกค้า” โดยไม่เคารพกฎเกณฑ์ท้องถิ่น บางส่วนถึงกับเรียกร้องให้ทางการตรวจสอบและดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ไม่เพียงแต่ในไทย คลิปวิดีโอดังกล่าวยังถูกแชร์ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเชิงจิตสำนึก ซึ่งหลายคนมองว่า การกระทำเช่นนี้เป็นหนึ่งในปัญหาสะสมของ “นักท่องเที่ยวบางกลุ่ม” ที่มักละเลยความเคารพต่อวัฒนธรรมของประเทศที่ตนเองเดินทางมา
คำขอโทษที่จุดกระแสถกเถียงใหม่
กระแสยังไม่ทันจางหาย ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นักท่องเที่ยวหญิงคนดังกล่าวได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านโซเชียลมีเดียของตนเอง โดยระบุว่า
“คำพูดของฉันถูกนำเสนอออกนอกบริบท ความตั้งใจของฉันคือการบอกว่า การท่องเที่ยวของชาวอิสราเอลมีส่วนช่วยเศรษฐกิจไทย... ฉันเจ็บเท้า และได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไปได้...ผู้ถ่ายวิดีโอไม่ใช่พนักงานแต่ใช้ความรุนแรงทางวาจากับฉันก่อน”
แม้จะมีการขอโทษและอธิบาย แต่คำชี้แจงดังกล่าวกลับจุดชนวนคำถามใหม่ในสังคม ว่าแท้จริงแล้วเหตุการณ์นี้คือความเข้าใจผิดหรือไม่? หรือสะท้อนความตึงเครียดที่ฝังรากลึกระหว่างนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม กับชุมชนท้องถิ่นที่พยายามรักษาวัฒนธรรมของตนเอาไว้
ปัญหาที่ลึกกว่าความเข้าใจผิด – วัฒนธรรม VS สิทธิของนักท่องเที่ยว
ประเด็นนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องของคำพูด หากแต่นำมาสู่การถกเถียงเชิงสังคมเกี่ยวกับ “สิทธิของนักท่องเที่ยว” และ “ความเคารพต่อวัฒนธรรมเจ้าถิ่น” โดยเฉพาะในสถานที่อย่างเกาะพะงัน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีทั้งชุมชนไทยดั้งเดิม ชาวต่างชาติที่อาศัยถาวร และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเป็นระยะ
ความไม่เข้าใจหรือการตีความวัฒนธรรมอย่างผิดพลาด อาจนำไปสู่การปะทะกันทางวาทกรรม และกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบ
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงภาพจำของ “นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล” ที่เคยมีข่าวในลักษณะใกล้เคียงกันก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเหมารวม และอคติในเชิงลบได้หากไม่แยกแยะว่าเป็นการกระทำของบุคคล ไม่ใช่ของเชื้อชาติหรือประเทศทั้งหมด
เสียงจากคนในพื้นที่ – ความเคารพเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน
หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ผู้ประกอบการในพื้นที่บางรายได้ออกมาแสดงความเห็นว่า
“เรายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศ ขอเพียงเคารพกฎของสถานที่ และเคารพคนในพื้นที่”
คำพูดนี้สะท้อนใจความสำคัญอย่างยิ่งของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่ไม่ได้วัดแค่จำนวนเงินที่หมุนเวียนในเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่ต้องวัดด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่าง “เจ้าบ้าน” และ “ผู้มาเยือน”
บทเรียนจากเหตุการณ์ – เมื่อการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน
เหตุการณ์นี้คือเครื่องเตือนใจว่า การเป็นนักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การเดินทางเพื่อพักผ่อน แต่คือการเดินทางไปยังวัฒนธรรมอื่น ซึ่งต้องมีความเข้าใจ ยอมรับ และเคารพ ไม่เช่นนั้น การท่องเที่ยวอาจกลายเป็นภัยเงียบ ที่บั่นทอนจิตวิญญาณของสถานที่ท่องเที่ยวในระยะยาว
สุดท้าย ดราม่านี้อาจจางหายไปตามเวลา แต่บทเรียนที่ฝากไว้ยังคงชัดเจนเสมอ – เงินสร้างเศรษฐกิจได้ แต่ความเคารพเท่านั้นที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน



