หลุดแชต! แม่ปูนาเตี้ยมเจ้านี้ แผนปิดหูเรียกคะแนนสงสารโป๊ะแตก
อดีต... “ปูนาฟ้าใส” แฉสนั่น! แม่ปูนาเตี้ยมเจ้าหนี้หวังเรียกคะแนนสงสารกลางโหนกระแส เป้าหมายเพื่อเงินจั๊กกะบุ๋มแต่แรก?
กลายเป็นดราม่าร้อนแรงที่สะเทือนโลกโซเชียลอีกครั้ง เมื่อ “แม่ปูนาฟ้าใส” หรือ บีม-รชต ค่ารอด แม่ค้าอ่องมันปูที่เคยตกเป็นข่าวใหญ่จากกรณีเป็นเจ้าหนี้ของ “จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม” นักแสดงตลกชื่อดัง กลับถูกแฉเสียเองว่า แท้จริงแล้วเบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมดอาจไม่ใสสะอาดอย่างที่เคยปรากฏในสื่อ เพราะอดีตผู้ร่วมงานและเจ้าหนี้หลายรายเริ่มออกมาเปิดเผยข้อมูลที่สั่นสะเทือนความน่าเชื่อถือของแม่ปูนาอย่างรุนแรง
เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา รายการ โหนกระแส ได้เชิญบุคคลสามฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับดราม่านี้มาร่วมพูดคุยเคลียร์ประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ คุณนา (Nareamon Suttaduk) เจ้าของโพสต์ต้นเรื่อง, นิสา อดีต...เพจปูนาฟ้าใส และแม่ปูนา ผู้เป็นต้นเรื่องทั้งหมด ซึ่งการออกมาเปิดโปงครั้งนี้ กลายเป็นการเปิดแผลลึกที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน
จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย: จากแม่ค้าขยัน สู่หนี้ท่วมหัว
คุณนา ซึ่งรู้จักกับแม่ปูนาเป็นเวลายาวนานกว่า 7-8 ปี เผยว่า ในช่วงแรกของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ทั้งสองคนซื้อขายกันด้วยความเข้าใจและความเชื่อใจอย่างเต็มที่ โดยคุณนาเป็นหนึ่งในผู้จัดหาสินค้า “อ่องมันปู” ให้แม่ปูนาเพื่อไปจำหน่ายต่อ ซึ่งการซื้อขายดำเนินไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ยอดขายซบเซาและการเงินสะดุดลง
แม่ปูนาเริ่มค้างชำระค่าสินค้า เริ่มจากหลักหมื่นจนกลายเป็นหลักแสน ซึ่งคุณนาระบุว่า เธอยังคงให้โอกาสเสมอ เพราะเข้าใจถึงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงวิกฤต แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่าหนี้สินกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแม่ปูนาก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง โดยยอดหนี้ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 455,845 บาท
โหนกระแสคือเครื่องมือ? แผนการซับซ้อนเพื่อสร้างภาพเหยื่อ
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ การเปิดเผยโดยคุณนาและนิสา อดีต...เพจปูนาฟ้าใส ที่ระบุว่าการไปออกรายการ “โหนกระแส” นั้น แม่ปูนาเคยพูดไว้เองว่าเป็นหนึ่งในแผนการเพื่อ “สร้างกระแสให้ขายของได้ดีขึ้น” และหากยอดขายดีจะนำเงินมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้หลายคน
แต่ปรากฏว่าหลังออกรายการ ยอดขายของแม่ปูนาเพิ่มขึ้นจริง แต่หนี้ก็ยังไม่ได้รับการชำระ แถมยังมีพฤติกรรมโอนเงินไม่ครบตามยอดสินค้าอีกด้วย จนนำไปสู่ความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ผู้ที่เคยร่วมงานและเจ้าหนี้หลายราย
นิสา ผู้เคยเป็น...เพจปูนาฟ้าใสเพียงแค่ 3-4 วัน ได้เล่าเสริมอย่างละเอียดว่า ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับแม่ปูนา เธอกลับสัมผัสได้ถึง “กลิ่นตุ ๆ” ของบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งจำนวนเจ้าหนี้ที่มากผิดปกติ การจัดฉากเพื่อเรียกคะแนนสงสาร และการแอบอ้างชื่อคนดังเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ตนเองในที่สาธารณะ
เตี้ยมบท เตรียมดราม่า ละครฉากใหญ่กลางจอทีวี?
นิสายังเผยหลักฐานว่า มีการ “ซักซ้อมบทพูด” ล่วงหน้าก่อนการออกโหนกระแส เช่น บอกให้พูดเสียงสอง ทำท่าปิดหู หรือนอนชักดิ้นชักงอ เพื่อให้คนดูเห็นใจ และหาก “จั๊กกะบุ๋ม” ไม่ยอมชดใช้หนี้ ก็จะใช้วิธีดราม่าใส่เต็มที่ เช่น ชูป้ายหน้าสื่อ หวังให้กลายเป็นข่าวจนจั๊กกะบุ๋มทนแรงกดดันไม่ไหว และยอมโอนเงินมาในที่สุด
เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าไม่ต่างจากการบงการเบื้องหลังของรายการเรียลลิตี้โชว์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปั่นกระแสและผลักดันยอดขายสินค้า มากกว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้สินอย่างแท้จริง
เมื่อภาพแม่พระใจบุญกลายเป็นภาพลวงตา
อีกหนึ่งมุมที่ถูกเปิดเผยก็คือ อาชีพเก่าของแม่ปูนา ซึ่งเคยรับเลี้ยงเด็กและสร้างภาพว่าเป็นแม่พระใจบุญ ยอมรับเด็ก ๆ โดยไม่คิดเงินล่วงหน้า เพราะเข้าใจว่าผู้ปกครองหลายคนยังไม่มีวุฒิภาวะและฐานะทางการเงินไม่มั่นคง แต่เมื่อลึกลงไปในรายละเอียด กลับพบว่า หากผู้ปกครองคนไหนไม่สามารถจ่ายค่าเลี้ยงดูได้ แม่ปูนาอาจใช้วิธี “ประจาน” ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือบีบให้ไปลงบันทึกประจำวัน อีกทั้งยังแอบอ้างชื่อ “พี่หนุ่ม” ผู้ดำเนินรายการโหนกระแสเพื่อกดดันคู่กรณีด้วย
...โดนแขวนกลางเพจ ทั้งที่หลังก็ยังคุยกันดี?
เหตุการณ์ที่ทำให้นิสาตัดสินใจออกมาแฉก็คือ การที่แม่ปูนาโพสต์กล่าวหาเธอว่าเป็น “มิจฉาชีพ” ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งสองคนยังพูดคุยกันดีอยู่ทางหลังบ้าน ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกหักหลังและใช้เป็นเครื่องมือสร้างกระแสอีกคน ทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำว่าการสร้างเรื่องราวเพื่อเรียกคะแนนสงสารอาจเป็น “สูตรสำเร็จ” ของแม่ปูนาในการเอาตัวรอดทางธุรกิจ
บทสรุป: เส้นแบ่งระหว่างเหยื่อกับผู้ล่า
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามที่สังคมควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ว่า “แม่ปูนา” เป็นเหยื่อของระบบเศรษฐกิจจริง ๆ หรือเป็นผู้ที่รู้จักใช้ความเห็นใจของสังคมเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ส่วนตน?
ทุกวันนี้สื่อและโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมหาศาลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจของประชาชน และหากมีใครบางคนสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อบิดเบือนความจริง หรือปั่นกระแสเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้วละก็ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่ต่างจากการ “โกงความรู้สึก” ของผู้คนจำนวนมากที่เคยยืนข้างเธอด้วยใจบริสุทธิ์
จึงอาจถึงเวลาที่ต้องตั้งคำถามว่า เราควรให้ “พื้นที่” แก่ใคร? และควร “เชื่อ” อะไรบ้างในโลกที่เต็มไปด้วยภาพลวงตาเช่นนี้
อ้างอิงจาก: โหนกระแส























