“ทนายตั้ม” เจองานเข้า! “นุ-สา” รับสารภาพ นัดสืบพยานปี 69 เปิดฉากคดีร้อน
ในโลกของวงการกฎหมายที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและซับซ้อน ล่าสุด “ทนายตั้ม” หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หนึ่งในทนายความชื่อดังของไทย กำลังเผชิญคดีใหญ่อีกครั้งที่อาจเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล หลังจากศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานเป็นครั้งที่สองในคดีฉ้อโกงเงินกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายคือ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือที่รู้จักในชื่อ “เจ๊อ้อย” โดยมีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
เบื้องหลังคดีฉ้อโกงเงินร้อยล้าน: จุดเริ่มต้นของปัญหา
คดีนี้เริ่มต้นจากการกล่าวหาว่า ทนายตั้มและพวกรวม 7 คน ร่วมกันฉ้อโกงเงินจำนวนมหาศาลจากเจ๊อ้อย โดยใช้กลวิธีและแผนการต่าง ๆ ที่ยังไม่เปิดเผยอย่างละเอียดต่อสาธารณะ ทว่าเมื่อพิจารณาจากขนาดของมูลค่าความเสียหายและจำนวนจำเลยในคดี ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งในแวดวงกฎหมายและสังคมออนไลน์
คนสนิท-แฟนคนสนิท พลิกคำให้การ กลายเป็น 'รับสารภาพ'
ความคืบหน้าล่าสุดที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับคดีนี้อย่างหนักหน่วง คือการที่ “นายนุวัฒน์ ยงยุทธ” หรือ “นุ” วัย 34 ปี คนสนิทของทนายตั้ม และ “น.ส.สารินี นุชนารถ” วัย 32 ปี แฟนสาวของนุ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 และ 4 ของคดีนี้ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอ “ถอนคำให้การเดิม” ที่เคยปฏิเสธข้อกล่าวหา แล้วกลับมาให้การ “รับสารภาพ” ตามฟ้องของโจทก์โดยไม่มีการคัดค้านจากฝ่ายอัยการหรือทนายโจทก์ร่วมแต่อย่างใด
การเปลี่ยนคำให้การในลักษณะนี้ถือเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า โครงสร้างการต่อสู้คดีของฝ่ายจำเลยกำลังสั่นคลอน และมีแนวโน้มว่าหลักฐานหรือคำให้การที่เคยวางแผนไว้ร่วมกันอาจถูกเปิดเผยเพิ่มเติมในอนาคต
ศาลอนุญาตให้เปลี่ยนคำให้การ พร้อมนัดสืบพยาน 19 นัดรวด
ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 3 และ 4 เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ พร้อมกับวางแผนกระบวนการสืบพยานอย่างเข้มงวด โดยศาลได้นัดหมายการสืบพยานโจทก์จำนวน 15 นัด และพยานฝ่ายจำเลยอีก 4 นัด รวมเป็น 19 นัด เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรัดกุมและไม่ล่าช้า
นอกจากนี้ ศาลยังเน้นย้ำว่าคดีนี้จะสืบพยานอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการเลื่อนหรือขอผัดเวลา พร้อมกำชับให้ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยเตรียมพยานให้พร้อมในแต่ละวันนัด
กำหนดวันสำคัญ: 4 มีนาคม 2569 ศาลนัดสืบพยานปากแรก
หนึ่งในวันสำคัญของคดีนี้คือ วันที่ 4 มีนาคม 2569 เวลา 09.00 น. ซึ่งเป็นวันที่ศาลกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ปากแรก คาดว่าคำให้การในวันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลังคดีอื้อฉาวนี้
ในแวดวงกฎหมาย เชื่อกันว่าพยานปากแรกมักเป็นพยานสำคัญที่จะช่วยวางรากฐานให้กับคดี ไม่ว่าจะเป็นการชี้ให้เห็นถึงเจตนาของจำเลย ลำดับเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งความเชื่อมโยงระหว่างผู้กระทำผิด
แรงกระเพื่อมต่อภาพลักษณ์ของ “ทนายตั้ม”
สำหรับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” นับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการกฎหมาย โดยเฉพาะกับบทบาทในคดีที่เกี่ยวข้องกับคนดังและประเด็นทางสังคมหลากหลาย แต่การที่ชื่อของเขาถูกพัวพันกับคดีฉ้อโกงมูลค่าสูงเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นที่สังคมมีต่อเขา
การที่คนใกล้ชิดและแฟนของคนสนิทเลือกเปลี่ยนคำให้การมาเป็นรับสารภาพ ยิ่งทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่าอาจมีรายละเอียดหรือเบื้องลึกบางอย่างที่สาธารณชนยังไม่รู้ และอาจกลายเป็นจุดพลิกของคดีนี้
สังคมต้องตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรม
คดีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นในตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังเปิดประเด็นให้สังคมหันกลับมาตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรม ความโปร่งใสของกระบวนการสอบสวน ไปจนถึงการใช้อำนาจทางกฎหมายในเชิงคุ้มครองผู้บริสุทธิ์และลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเท่าเทียม
การที่ศาลกำหนดให้มีการสืบพยานอย่างต่อเนื่องแบบไม่เลื่อนนัด ถือเป็นสัญญาณที่ดีในแง่ของการให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรวดเร็วในกระบวนการยุติธรรม
จับตาทุกความเคลื่อนไหว คดีนี้ยังอีกยาว
แม้ว่าคดีจะยังไม่เข้าสู่กระบวนการไต่สวนอย่างเป็นทางการ แต่ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งจากจำเลย ฝ่ายโจทก์ และการพิจารณาของศาล ได้สะท้อนให้เห็นว่า คดีนี้มีรายละเอียดที่ซับซ้อนและอาจมีการพลิกผันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
คำถามสำคัญคือ ความจริงในคดีนี้คืออะไร? ใครเป็นผู้กระทำผิดโดยแท้จริง? และจะมีหลักฐานหรือพยานใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนทิศทางของคดีได้หรือไม่?
คำตอบทั้งหมดคงต้องรอฟังจากกระบวนการสืบพยานที่จะเริ่มในวันที่ 4 มีนาคม 2569 เป็นต้นไป ซึ่งเราทุกคนควรจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะนี่ไม่ใช่เพียงคดีฉ้อโกงธรรมดา แต่คือบทพิสูจน์ของกระบวนการยุติธรรมไทยในยุคที่สังคมตื่นตัวมากกว่าที่เคย























