จีนเทาเช่าโกดังหมักไส้หมูเน่า ส่งขายทั่วประเทศไทย
เปิดโปงปฏิบัติการ “ลากไส้หมูเถื่อน” เขย่าวงการอาหารไทย! พบโกดังสุดโทรมกลางสมุทรสาคร ลักลอบนำเข้าไส้หมูหมักเกลือจากจีน-เวียดนาม เตรียมส่งขายทั่วประเทศ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
กลายเป็นข่าวสะเทือนวงการอาหารและอุตสาหกรรมการผลิตแปรรูปในประเทศไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ กก.2 บก.ปอศ. นำโดย พ.ต.ต.นพคุณ ทัศนมาลัย และเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ ได้ทำการบุกตรวจค้นโกดังต้องสงสัยในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรสาครที่ ค.152/2568 ลงวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยมีเป้าหมายในการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้าม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค และกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติการ
เหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากนโยบายเข้มงวดของรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2562 ที่มีการสั่งห้ามนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมูจากหลายประเทศ รวมถึงจีนและเวียดนาม เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงและสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ได้รับการตรวจสอบและผ่านกระบวนการทางศุลกากรอย่างถูกต้อง
กระนั้น ก็ยังมีกลุ่มผู้ลักลอบที่เล็งเห็นช่องทางทำกำไรจากการนำเข้าสินค้าต้องห้ามเหล่านี้ เนื่องจากไส้หมูหมักเกลือถือเป็นวัตถุดิบที่มีความต้องการสูงในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกอีสาน ไส้กรอกเยอรมัน หรือผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ที่ใช้ไส้เป็นส่วนประกอบสำคัญ สินค้าเหล่านี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และหากสามารถนำเข้ามาได้โดยไม่ต้องเสียภาษีหรือลดต้นทุนด้วยวิธีผิดกฎหมาย ก็จะทำให้ผู้ลักลอบได้ผลกำไรมหาศาล
บุกค้นโกดังลึกลับ พบไส้หมูกว่า 500 ถุง!
การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ พบเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับโกดังไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่เลขที่ 340 หมู่ 2 ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งเก็บและกระจายสินค้าไส้หมูหมักเกลือที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ
เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นตามหมายศาล กลับไม่พบผู้ใดมาแสดงตนเป็นเจ้าของหรือผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าว จนกระทั่งมีหญิงไทยรายหนึ่ง น.ส.ชวดลฯ ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าโกดัง เดินทางมาแสดงตัวและให้ข้อมูลว่าโกดังดังกล่าวถูกเช่าโดยชายชาวจีนชื่อ “เฉิน” (Mr. CHEN) โดยอ้างว่าใช้เป็นที่เก็บอาหารสด เช่น ไส้สัตว์หมักเกลือและสินค้าแปรรูปเพื่อส่งให้ร้านอาหารต่าง ๆ ทั่วประเทศ
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคณะตรวจค้นน่าตกใจไม่น้อย พื้นที่โกดังมีสภาพโทรม สกปรก เต็มไปด้วยฝุ่น ใบไม้ และกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ จากการตรวจสอบพบถังขนาดใหญ่จำนวนมาก บรรจุถุงกระสอบยูเรีย และภายในแต่ละถุงบรรจุไส้สัตว์ลักษณะคล้ายไส้หมูหมักเกลือ มีจำนวนรวมมากกว่า 514 ถุง แต่ละถุงหนักประมาณ 80 กิโลกรัม รวมทั้งหมดมีน้ำหนักมากกว่า 40 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
หลักฐานมัดแน่น! ลักลอบนำเข้าแบบผิดกฎหมาย
นอกจากไส้หมูจำนวนมากแล้ว เจ้าหน้าที่ยังพบหลักฐานที่ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีแหล่งกำเนิดจากต่างประเทศอย่างชัดเจน ทั้งจากข้อความภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศที่แปะอยู่บนถังและถุง เช่น “Natural Hog Casing” รวมถึงถุงยูเรียที่ใช้บรรจุไส้หมูนั้น ระบุว่า “MADE IN VIETNAM” ซึ่งถือว่าไม่ถูกสุขลักษณะ และสุ่มเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือสารต้องห้าม
เจ้าหน้าที่จึงอายัดสินค้าเพื่อตรวจหาชนิดของสัตว์ รวมถึงตรวจสอบการปนเปื้อนของเชื้อโรคต่างๆ และจะดำเนินการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผลกระทบที่น่ากังวลต่อผู้บริโภคและประเทศ
การลักลอบนำเข้าไส้หมูจากต่างประเทศโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมายเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามระบบ แต่ยังเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน เพราะสินค้าเหล่านี้อาจมีเชื้อโรคที่อันตรายและสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู ซึ่งประเทศไทยพยายามควบคุมและป้องกันมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ยังเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ เพราะหากเชื้อโรคหลุดรอดเข้าสู่ระบบการผลิตภายในประเทศแล้ว จะยากต่อการควบคุม และอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในระยะยาว
สรุป
กรณีโกดังลักลอบนำเข้าไส้หมูหมักเกลือที่สมุทรสาครครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกลุ่มทุนเทาและผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการหาช่องทางทำกำไรโดยไม่สนต่อผลกระทบต่อส่วนรวม
ขณะเดียวกัน ก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่ของไทยยังคงมีความเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและปกป้องสุขภาพประชาชนอย่างจริงจัง ซึ่งสาธารณชนควรให้ความร่วมมือและเป็นหูเป็นตา หากพบเบาะแสการลักลอบหรือลักษณะการประกอบการที่ผิดกฎหมาย ก็สามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าตรวจสอบได้ทันที เพื่อร่วมกันปกป้องความมั่นคงของอาหารไทยอย่างยั่งยืน






















