เจอหนัก! “ลูกพีช” ขับบีเอ็มชนกระบะ โดน 7 ข้อหา ยังไม่รวมพยายามฆ่า
“พีช สมิทธิพัฒน์” คดีบีเอ็มชนกระบะลุงกับป้าเจ็บสาหัส รับ 3 ข้อหาจราจร ตำรวจตั้งเพิ่มอีก 4 ข้อหาอาญา สังคมจับตายังไร้การเยียวยาผู้บาดเจ็บ
กลายเป็นอีกหนึ่งคดีที่สังคมไทยจับตามองอย่างใกล้ชิด สำหรับกรณีของ “นายสมิทธิพัฒน์ หลินวรัตน์” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พีช” ลูกชายนายกฤษฎา หลินวรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในเหตุการณ์อุบัติเหตุรุนแรง เมื่อรถยนต์ BMW ป้ายแดงของเขาพุ่งชนรถกระบะของสองตายายบนถนนในเขตอำเภอลำลูกกา จนทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะคุณตาที่มีอาการซี่โครงหักถึง 6 ซี่ และต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU
เข้ารับทราบข้อกล่าวหา 3 ข้อหาแรกคดีจราจร ยอมรับผิดทั้งหมด
ล่าสุด นายสมิทธิพัฒน์ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือคดีจราจรและคดีอาญา โดยในส่วนของคดีจราจร เขาได้พบเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง และถูกแจ้งข้อหา 3 กระทง ได้แก่
1. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตที่ยังใช้ได้ (ใบขับขี่หมดอายุ)
2. ขับรถยนต์ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง (รถป้ายแดง)
3. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
นายสมิทธิพัฒน์ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และยินดีชำระค่าปรับจำนวนรวม 6,000 บาท แยกเป็นข้อหาละ 2,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
คดีอาญา 4 ข้อหาใหม่ ยังรอผลพิสูจน์หลักฐาน
ในช่วงกลางดึกของวันเดียวกัน นายสมิทธิพัฒน์ได้เดินทางไปยัง สภ.ลำลูกกา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในส่วนของคดีอาญา ซึ่งครั้งนี้หนักกว่าเดิม เพราะเป็นข้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
4 ข้อหาดังกล่าว ได้แก่
1. ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส (กรณีคุณตา)
2. ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ (กรณีคุณยาย)
3. ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น
4. ทำให้เสียทรัพย์
ขณะนี้ตำรวจได้ส่งรถ BMW ของนายสมิทธิพัฒน์ และรถกระบะของผู้บาดเจ็บไปยังสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน จ.ปทุมธานี เพื่อตรวจสอบร่องรอยการชนและเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อประกอบสำนวนคดี
เบื้องต้นพบว่ารถ BMW มีรอยเฉี่ยวชนบริเวณท้ายรถฝั่งขวา ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการชนที่รถ BMW อาจสะบัดท้ายไปชนรถกระบะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการพบร่องรอยชนกับแบริเออร์ริมทาง ซึ่งขัดกับคำให้การของนายสมิทธิพัฒน์ที่กล่าวอ้างว่าตนเองต้องหักหลบเนื่องจากถูกรถกระบะปาดหน้า
ตำรวจยังไม่ชี้ชัดว่าเข้าข่าย "พยายามฆ่า" หรือไม่ ต้องรอหลักฐานครบ
พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ขณะนี้ตำรวจได้ออกหมายเรียกและแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาเป็นที่เรียบร้อย พร้อมยืนยันว่า นายสมิทธิพัฒน์ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ โดยไม่มีการขัดขืนใด ๆ และให้พิมพ์ลายนิ้วมือตามขั้นตอนปกติ
ในส่วนของข้อสงสัยจากประชาชนที่ตั้งคำถามว่า คดีนี้อาจเข้าข่าย “พยายามฆ่า” หรือไม่ ทางตำรวจยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในขณะนี้ เพราะต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อน และต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้เท่านั้น
สังคมตั้งคำถาม ยังไร้การเยียวยาผู้บาดเจ็บ
แม้จะมีการรับทราบข้อกล่าวหาและแสดงความขอโทษจากผู้ต้องหา แต่สิ่งที่สังคมยังจับตามองคือ การเยียวยาผู้เสียหาย ทั้งสองตายายยังไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ จากคู่กรี โดยเฉพาะในประเด็นค่ารักษาพยาบาลที่คาดว่าจะสูงมากจากการรักษาในห้อง ICU และการฟื้นฟูร่างกายระยะยาว
คุกเข่าขอโทษ น้ำตาคลอ ขอ “โอกาสจากสังคม”
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2568 นายสมิทธิพัฒน์ ได้เดินทางมายัง สภ.ลำลูกกา พร้อมกับ "นายกเบี้ยว" บุคคลที่ไม่เปิดเผยชื่อเต็ม เพื่อแสดงความขอโทษต่อครอบครัวผู้เสียหาย โดยนำพวงมาลัยสองพวงมามอบให้กับลูกสาวของตายายผู้บาดเจ็บ พร้อมคุกเข่ากล่าวขอโทษทั้งน้ำตา ยืนยันว่า “ไม่มีเจตนาจะทำให้ใครเจ็บ” และขอ “โอกาสจากสังคม” พร้อมรับปากจะรับผิดชอบค่ารักษาและความเสียหายทั้งหมด
"กัน จอมพลัง" ชี้พฤติกรรม "มัดมือชก" ตอกกลับคำสัมภาษณ์ "ถ้าลุงจอด เรื่องจะไม่เกิด"
ในเหตุการณ์ดังกล่าวยังมี “กัน จอมพลัง” เข้าร่วมในฐานะตัวแทนช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บ โดยได้ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า พฤติกรรมของนายสมิทธิพัฒน์ที่มาขอโทษกลางวงสื่อ “เป็นการมัดมือชก” และตั้งคำถามถึงคำพูดที่เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ว่า “ถ้าลุงจอด เรื่องจะไม่เกิด” ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวผู้เสียหาย เพราะถือเป็นการโยนความผิดให้กับฝ่ายที่บาดเจ็บ
นอกจากนี้ นักข่าวยังพยายามสอบถามถึงเหตุผลที่นายสมิทธิพัฒน์ไม่โทรเรียกรถพยาบาลทันทีหลังเกิดเหตุ แต่เขากลับนิ่งเงียบและไม่ตอบคำถามใด ๆ ก่อนที่นายกเบี้ยวจะพาตัวเขาออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
ก่อนจะขึ้นรถจากไป นายสมิทธิพัฒน์กล่าวเพียงสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมขอโทษแล้วนะพี่ ผมรู้สึกผิดจริง ๆ ทุกอย่างมันมาที่ผม แต่พ่อแม่ผมก็โดนด้วย ผมรู้สึกมันเยอะเกินไปแล้ว” สะท้อนความรู้สึกกดดันและเศร้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คดีนี้ยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะนอกจากจะมีแง่มุมทางกฎหมายทั้งคดีจราจรและคดีอาญาที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ยังมีประเด็นทางสังคมอีกหลายด้าน ทั้งการแสดงความรับผิดชอบ การชดใช้ค่าเสียหาย และทัศนคติของผู้ก่อเหตุที่ยังถูกตั้งคำถามมากมายจากสังคม ตำรวจยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนอย่างละเอียด และต้องรอผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อปิดสำนวนให้สมบูรณ์
ประชาชนยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดว่า คดีนี้จะมีความยุติธรรมหรือไม่ และผู้บาดเจ็บจะได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมหรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย















