ไม่ไหวต้องปิด! ร้านชาบูเจ้าใหญ่ ประกาศยุติกิจการ 2 สาขาในไทย เซ่นพิษเศรษฐกิจ
Kagonoya ประกาศปิดถาวร 2 สาขาในไทย ลูกค้าประจำสุดเสียดาย ชาบูต้นตำรับจากโอซาก้าจะอยู่ในความทรงจำ
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา แฟนพันธุ์แท้ของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง Kagonoya ต้องพบกับข่าวที่น่าใจหาย เมื่อทางเพจเฟซบุ๊ก Kagonoya Thailand ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการปิดให้บริการถาวรของ 2 สาขาในประเทศไทย ได้แก่ สาขา Central Westgate บางใหญ่ และ สาขา The Walk เกษตร-นวมินทร์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
ตามประกาศจากเพจได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า วันที่ 21 เมษายน 2568 ถือเป็นวันสุดท้ายของการให้บริการ พร้อมขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้หลายคนที่เป็นลูกค้าขาประจำของร้านต่างแสดงความรู้สึกเสียดาย และเข้าใจในเหตุผลของการตัดสินใจในครั้งนี้ของทางร้าน
Kagonoya คือใคร ทำไมถึงมีแฟนคลับเหนียวแน่น
Kagonoya เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีต้นตำรับจากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นในเมนู “ชาบู” และอาหารเซ็ตแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม จุดเด่นอยู่ที่น้ำซุปที่มีความเข้มข้น หอมกรุ่น และเนื้อคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรมาจากวัตถุดิบเกรดพรีเมียม ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายปี และการมีมากกว่า 100 สาขาในญี่ปุ่น Kagonoya จึงสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย Kagonoya ก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับแท้ ๆ ไม่ปรุงแต่งรสให้หวานหรือเข้มเกินไปตามรสนิยมท้องถิ่น ทำให้มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น ทั้งกลุ่มครอบครัว วัยทำงาน และนักเรียนนักศึกษา
สาขาที่ปิด มีความสำคัญแค่ไหนในมุมของลูกค้า
สองสาขาที่ประกาศปิดตัวในครั้งนี้ คือสาขา Central Westgate และ The Walk เกษตร-นวมินทร์ ถือเป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีผู้คนพลุกพล่าน และมีกลุ่มลูกค้าประจำมากมาย โดยเฉพาะสาขา Central Westgate ที่อยู่ใกล้ย่านชุมชนอย่างบางใหญ่ และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สีม่วง จึงกลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของหลายครอบครัวในวันหยุด
ในขณะที่ The Walk เกษตร-นวมินทร์ เป็นสาขาที่มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการทานอาหารอย่างสบายใจ ไม่วุ่นวาย บางคนถึงกับบอกว่า เป็นหนึ่งใน “ร้านชาบูที่ดีที่สุด” ในโซนเกษตร-นวมินทร์เลยทีเดียว
เมื่อมีประกาศปิดสาขาออกมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บรรดาแฟนคลับของร้านต่างแสดงความรู้สึก “ใจหาย” หลายคนเข้ามาคอมเมนต์ในเพจด้วยความเสียดาย บางคนยังแชร์ภาพความทรงจำครั้งที่ได้มาทานกับครอบครัวหรือคนรัก และบางคนก็รีบบอกว่า “จะไปทานเป็นมื้อสุดท้ายในวันที่ 21 ก่อนจะปิดจริง”
เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องปิดกิจการทั้งที่แบรนด์แข็งแรง?
แม้ทางร้านจะไม่ได้ระบุถึง “เหตุผลโดยตรง” ของการปิดกิจการในครั้งนี้ แต่หากวิเคราะห์จากสถานการณ์ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในไทยช่วงหลังโควิด-19 แล้ว จะเห็นได้ว่า หลายร้านต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก ทั้งค่าจ้างแรงงาน วัตถุดิบ และค่าเช่าพื้นที่
นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หลายคนหันมาเลือกใช้บริการเดลิเวอรี่มากขึ้น หรือเลือกร้านอาหารที่มีราคาย่อมเยาว์กว่า แม้คุณภาพจะลดลงก็ตาม ในขณะเดียวกันการแข่งขันของร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยก็สูงมาก ร้านใหม่ ๆ เปิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งในห้างและแบบสตรีทฟู้ด ทำให้แบรนด์ใหญ่ ๆ ต้องปรับตัวอย่างหนัก
การตัดสินใจปิดสาขาทั้งสองแห่งของ Kagonoya จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนบริหารต้นทุนและโฟกัสสาขาที่มีศักยภาพสูงกว่า หรืออาจเป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อหาช่องทางที่เหมาะสมกว่าในอนาคต
เสียงจากลูกค้า “ยังไงก็คิดถึง”
หลังจากโพสต์แจ้งปิดกิจการถูกเผยแพร่ออกไป แฟนเพจต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ทั้งการขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดี ๆ ที่เคยได้รับ และความรู้สึกเสียดายที่ต้องเห็นร้านที่รักจากไป
“ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ดี เสียดายมาก ร้านโปรดเลย”
“น่าเสียดายมากเลยค่ะ สาขาเวสต์เกตเป็นที่ที่ครอบครัวเราชอบมาทานด้วยกัน”
“หวังว่าจะได้เจอ Kagonoya ที่อื่นอีกนะคะ อยากให้มีเดลิเวอรี่ด้วย”
การปิดตัวของ Kagonoya 2 สาขาในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความท้าทายของธุรกิจร้านอาหารในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคว่า แม้ร้านที่ดูแข็งแกร่งและมีแฟนคลับเหนียวแน่น ก็ยังต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อให้อยู่รอด
สำหรับแฟน ๆ ของ Kagonoya คงต้องติดตามต่อไปว่า ทางแบรนด์จะมีแผนอะไรใหม่ ๆ ออกมาในอนาคตหรือไม่ ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นการกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ หรือสาขาใหม่ในโลเคชันที่แตกต่างไปจากเดิม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชื่อของ Kagonoya และรสชาติของชาบูแบบญี่ปุ่นต้นตำรับจากโอซาก้า จะยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนไปอีกนาน















