สรุปดราม่าทราย สก๊อต เมื่อเสียงนักอนุรักษ์กระทบผลประโยชน์ใครบางคน?
“ทราย สก๊อต” มนุษย์เงือก ผู้กล้าสะท้อนความจริงของทะเลไทย แม้ต้องแลกด้วยตำแหน่งที่รัก
เมื่อพูดถึงชื่อของ “ทราย สก๊อต” หรือชื่อจริง ทราย สิรณัฐ สก๊อต หลายคนคงนึกถึงภาพชายหนุ่มผู้หลงใหลในท้องทะเลอย่างลึกซึ้ง เจ้าของฉายา “มนุษย์เงือก” ผู้ที่อุทิศทั้งชีวิตและหัวใจให้กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะท้องทะเลไทย
ในฐานะที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เขาคือคนเบื้องหลังหลายภารกิจที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล แต่ไม่นานมานี้ ชื่อของเขากลับกลายเป็นที่สนใจบนโลกโซเชียลในประเด็นร้อน เมื่อเขาโพสต์ข้อความในลักษณะ อำลาตำแหน่งที่ปรึกษา พร้อมเหตุผลที่กล้าหาญว่า
“ผมเลือกที่จะเสียสละงานที่ผมรักกับตำแหน่งของผม เพื่อโอกาสที่จะสะท้อนเรื่องจริงของปัญหาทะเลทางภาคใต้...”
เสียงที่ไม่ใช่แค่ของ “ทราย” แต่คือเสียงของทะเล
ในโพสต์ดังกล่าว “ทราย สก๊อต” ยังแนบภาพแชทไลน์ที่เขาส่งถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ โดยเขายืนยันว่า ไม่ได้รู้สึกไม่ดี หากจะถูกถอดจากตำแหน่ง เพราะสิ่งสำคัญกว่าคือต้องการให้สังคมและผู้มีอำนาจ มองเห็นปัญหาแท้จริง ของการท่องเที่ยวทะเลภาคใต้
เขาชี้ว่าปัญหาเหล่านี้สะสมมานานจากการเพิกเฉยของทั้งภาคเอกชนในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ของรัฐเอง จนนำไปสู่การเสื่อมโทรมของแนวปะการัง ซึ่งในบางจุด ฟื้นฟูกลับมาได้ยาก
ภารกิจที่แลกมาด้วยความเข้าใจผิด
สิ่งที่ทรายยืนยันคือ เขาทำทุกอย่างในฐานะ ตัวแทนของเจ้าหน้าที่ เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของกรมอุทยาน ไม่ใช่การตำหนิหรือประจานใครโดยเฉพาะ
“แม้ว่ามันจะส่งผลให้คนในพื้นที่ไม่ชอบทราย แทนที่จะไม่ชอบอุทยาน ทรายยอมรับในผลเพื่อการกิจ”
แม้ “ทราย สก๊อต” จะย้ำเจตนารมณ์ในการทำงานอย่างโปร่งใสและมีเป้าหมายเดียวคือการอนุรักษ์ แต่ความตรงไปตรงมาของเขาก็อาจกลายเป็นดาบสองคม
ประเด็น “หนีห่าว” จุดชนวนข้อถกเถียง
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์คือ คลิปวิดีโอ ที่ทรายเผยแพร่ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาทักเขาว่า “หนีห่าว” ซึ่งแม้จะดูเป็นคำทักทายธรรมดาในสายตาบางคน แต่ในมุมของทราย นั่นคือ การเหยียดเชื้อชาติ
คลิปนี้กลายเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง บ้างเห็นว่าเขา “คิดมากไป” แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่เข้าใจมุมมองของเขา โดยเฉพาะ “ดีเจมะตูม” ที่ออกมาสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า
“จากที่เคยอาศัยอยู่ในยุโรปมาเกือบ 20 ปี คำว่า ‘ni hao’ คือการเหยียดแบบรุนแรง เจอมาตั้งแต่ high school จนถึงที่ทำงาน โดยมีท่าทางล้อเลียน ตะโกนเสียงดัง ลากหางตา ทำให้คนเอเชียรู้สึกด้อยค่า”
รณรงค์สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แม้จะถูกร้องเรียน
ถ้าคุณเคยติดตามช่องโซเชียลของ “ทราย สก๊อต” จะพบว่าเขาสร้างสรรค์วิดีโอเพื่อ รณรงค์อนุรักษ์ทะเลไทยอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการตักเตือนนักท่องเที่ยวที่เก็บหอย เศษปะการัง หรือลงเรือถ่ายทำการเตือนเรือทัวร์ที่จอดผิดจุด ทำลายแนวปะการังโดยตรง
หนึ่งในคลิปที่ได้รับความสนใจมากคือ เหตุการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เมื่อทรายเผชิญหน้านักท่องเที่ยวที่ฝ่าฝืนว่ายน้ำในเขตฟื้นฟูปะการัง โดยรอบไม่มีเรือหรือไกด์ดูแล กลายเป็นปะทะคารมกันอีกครั้ง นักท่องเที่ยวถึงขั้นบอกว่า “จะไม่กลับมาไทยอีก”
ในคลิป ทรายเขียนว่า
“ถ้าบริษัททัวร์มีความรับผิดชอบตั้งแต่แรก ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้น การประกาศเขตห้ามของอุทยานก็มีอยู่แล้ว แต่ไกด์ไม่แจ้ง และเรือปล่อยนักท่องเที่ยวว่ายเข้าไปเอง”
เสียงสองด้านของสังคม
แม้หลายคนจะชื่นชมในความจริงจังของเขา แต่ก็มีเสียงจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางรายที่ ไม่พอใจการกระทำของเขา ที่ดูเหมือนเป็นการพาดพิง ตำหนิอย่างเปิดเผยในคลิป โดยใช้ชื่อและภาพชัดเจน
บางส่วนถึงกับยื่นร้องเรียนขอ ไม่ให้เขากลับมารับตำแหน่งอีก และวิจารณ์ว่าการใช้สื่อโซเชียลในลักษณะนี้ อาจส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวในภาพรวม
“ดอกไม้และก้อนอิฐ” ของคนชื่อ “ทราย”
ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หลายฝ่ายยอมรับว่า “ทราย สก๊อต” คือ บุคคลผู้กล้าออกมายืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แม้ต้องแลกด้วยตำแหน่ง หน้าที่ หรือการถูกไม่ชอบจากคนบางกลุ่ม
เขาคือคนที่ไม่เพียงแต่ “พูด” แต่ยัง “ทำจริง” ในฐานะคนทำงานอนุรักษ์ทะเล
และแม้ว่าอธิบดีกรมอุทยานฯ จะยืนยันว่ายังไม่มีการถอดถอนออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่คำถามในสังคมก็ยังคงค้างคา ว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคนที่ทำเพื่อธรรมชาติถึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้?
บทสรุป:
กรณีของ “ทราย สก๊อต” ไม่ใช่แค่เรื่องของคนคนหนึ่งที่ทำคอนเทนต์แรง แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาหลายชั้นในสังคมไทย ตั้งแต่ระบบการจัดการทรัพยากร การท่องเที่ยวที่ไม่ยั่งยืน ไปจนถึงการรับมือกับวัฒนธรรมข้ามชาติที่บางครั้งแฝงด้วยอคติ
ไม่ว่าเขาจะกลับมานั่งในตำแหน่งเดิมหรือไม่ สิ่งที่เขาได้จุดประกายไว้ คือคำถามที่เราทุกคนต้องช่วยกันตอบว่า...เรารักทะเลไทยจริงไหม? แล้วเราจะปกป้องมันอย่างไร?






















