จีนสั่งคว่ำบาตรโบอิ้ง: สัญญาณเตือนใหม่ของสงครามการค้าสหรัฐฯ–จีน
เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา จีนได้ประกาศคำสั่งให้สายการบินภายในประเทศระงับการรับมอบเครื่องบินจากโบอิ้ง (Boeing) รวมถึงหยุดการจัดซื้อชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องจากบริษัทในสหรัฐฯ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การตอบโต้ทางธุรกิจธรรมดา แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
จีนถือเป็นตลาดสำคัญอันดับต้น ๆ ของโบอิ้ง โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้วางแผนส่งมอบเครื่องบินรุ่น 737 Max และ 787 Dreamliner ให้กับสายการบินจีนหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม การระงับครั้งนี้ทำให้มูลค่าการส่งออกของโบอิ้งสะดุดลงอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันนักลงทุนก็เริ่มแสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนในอนาคตของบริษัท
อีกด้านหนึ่ง นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าความเคลื่อนไหวของจีนไม่เพียงแต่กระทบโบอิ้งเท่านั้น แต่ยังส่งผลย้อนกลับไปยังโครงการเครื่องบินโดยสารของจีนเอง เช่น โครงการ C919 ของ COMAC ซึ่งแม้จะเป็นความภาคภูมิใจของจีน แต่ในความเป็นจริงยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบควบคุมการบิน และชิ้นส่วนจากบริษัทอย่าง GE Aviation และ Honeywell
ในระยะสั้น จีนอาจเลือกหันไปพึ่งพาแอร์บัส (Airbus) แทน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการเดินทางภายในประเทศ แต่อุปสรรคคือกำลังการผลิตของแอร์บัสไม่สามารถตอบสนองความต้องการมหาศาลของตลาดจีนได้ทั้งหมด นอกจากนี้ การที่จีนพยายามผลักดัน COMAC ขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในระดับโลกก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านคุณภาพ เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
สถานการณ์นี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกันแน่นแฟ้น แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของสงครามการค้าได้อย่างสมบูรณ์ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาจุดร่วมในการเจรจา อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์โลกอาจตกอยู่ในความเสี่ยงสูง ทั้งด้านราคา เทคโนโลยี และความปลอดภัย
ในท้ายที่สุด คำถามคือ “ใครได้ใครเสีย?” เพราะดูเหมือนว่าภายใต้หมากการเมืองระดับโลกเช่นนี้ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และแรงงานในอุตสาหกรรมทั้งสองฝั่งอาจเป็นผู้แบกรับต้นทุนโดยไม่สมัครใจ

















