ดราม่าระอุ! สาวลาวด่าคนไทยใน TikTok โดนรวบทันควัน หลังโพสต์คำพูดสุดหยาม
ดราม่าสาวลาวด่าคนไทย "ขอทานแดรก" กลางไลฟ์ TikTok จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ล่าสุดยอมรับผิด พร้อมขอโทษคนไทย
ในโลกออนไลน์เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอจากแพลตฟอร์ม TikTok ที่ปรากฏภาพของหญิงสาวรายหนึ่ง พูดจาในเชิงเหยียดคนไทยด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า “ประเทศลาวไม่เคยมีขอทาน แต่ประเทศไทยมีขอทานแดรก” พร้อมกับระบุว่าตัวเองทำงานสุจริต ไม่เคยขอทานเหมือนคนไทย แม้ตนจะเป็นชาวลาวก็ตาม
คำพูดดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสเดือดอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้ใช้งานโซเชียลชาวไทยที่รู้สึกว่าเป็นการลบหลู่ประเทศและประชาชนไทยอย่างไม่เหมาะสม แม้ในเวลาต่อมาคลิปดังกล่าวจะถูกลบออกจาก TikTok แต่คลิปถูกบันทึกไว้และส่งต่ออย่างรวดเร็ว ทั้งใน Facebook, Twitter และแอปโซเชียลอื่น ๆ จนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมจับตามอง
สืบสาวต้นตอ พบเป็นแม่ค้าชาวลาว ขายของบริเวณหน้าโรงพยาบาลในกำแพงเพชร
ภายหลังการตรวจสอบเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 สำนักงานจัดหางานจังหวัดกำแพงเพชร ได้ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดกำแพงเพชร รวมถึงเจ้าหน้าที่จากกองกำกับการสืบสวน 2 บช.ภ.6 ทำการเชิญตัวหญิงสาวที่ปรากฏในคลิปวิดีโอที่กำลังเป็นกระแสมาเข้าพบเพื่อสอบถามข้อมูลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
หญิงคนดังกล่าวคือ นางสุข สุพันทอง หรือที่รู้จักในชื่อ “นุซ” อายุ 38 ปี สัญชาติลาว โดยมีข้อมูลว่าเธอเปิดร้านขายไส้กรอกอีสานอยู่บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร เบื้องต้นพบว่าเธอเดินทางมาจากประเทศลาว และมีสามีเป็นคนไทย ซึ่งได้พาเธอเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว
เธอเล่าว่าได้รับอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องในจังหวัดศรีสะเกษในตำแหน่งกรรมกร ก่อนจะย้ายมากำแพงเพชรพร้อมสามีที่ได้งานใหม่ ส่วนตัวเธอเลือกทำมาหากินด้วยการขายไส้กรอกอีสานเพื่อช่วยหารายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว เนื่องจากมีลูกด้วยกัน
เผยปมดราม่า – ด่าคนไทยกลางไลฟ์ TikTok เพราะโดนคอมเมนต์แรง
นางนุชยอมรับว่าบุคคลในคลิปที่พูดจาด่าคนไทยว่า “ขอทานแดรก” คือเธอจริง โดยเธอชี้แจงว่าในวันนั้นตนกำลังดูไลฟ์สด TikTok จากกลุ่มคนลาวที่เธอเป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งโดยปกติมักพูดคุยกันเรื่องชีวิตในต่างแดนอย่างเป็นกันเอง ทว่าในระหว่างนั้นกลับมีผู้ใช้งานชาวไทยรายหนึ่งเข้ามาคอมเมนต์ว่า “คนลาวตาขาว”
เธอกล่าวว่า คำว่า “ตาขาว” เป็นคำที่รุนแรงมากในวัฒนธรรมของประเทศลาว ถือเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี ทำให้เธอรู้สึกโกรธมากและจึงขึ้นไลฟ์ตอบโต้ทันที โดยหลุดพูดในเชิงว่า “คนไทยยังมีขอทานอยู่เลย จะมาว่าคนลาวทำไม” ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นการพูดด้วยอารมณ์ และคำพูดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นประเทศไทย เพราะตนเองก็อยู่ในเมืองไทยมานานตั้งแต่อายุ 15 ปี และรู้สึกผูกพันกับประเทศนี้อย่างมาก
ยอมรับผิด พร้อมขอโทษสังคมไทย
หลังจากเหตุการณ์คลิปดังกล่าวกลายเป็นกระแสดังในโซเชียลมีเดีย นางนุชได้ออกมาขอโทษผ่านคลิปวิดีโออีกครั้ง โดยกล่าวว่า “ตนหลุดไปจริง ๆ และเสียใจกับคำพูดนั้น เพราะประเทศไทยก็ดีกับตนมากตั้งแต่เด็ก และทำให้เธอได้มีครอบครัว มีอาชีพ มีลูก”
อย่างไรก็ตาม คำขอโทษดังกล่าวไม่อาจดับความไม่พอใจของชาวเน็ตได้ทัน โดยมีชาวไทยจำนวนมากเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของเธอว่าไม่เหมาะสม ขณะที่คนลาวจำนวนไม่น้อยก็ออกมาตำหนิพฤติกรรมของเธอเช่นกัน โดยเห็นว่าการพูดเช่นนั้นไม่เพียงแต่ทำให้คนไทยรู้สึกไม่ดี แต่ยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแรงงานชาวลาวที่ตั้งใจทำมาหากินในประเทศไทยด้วย
ดำเนินคดีตามกฎหมาย – ข้อหาทำงานผิดประเภทตาม พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว
ในด้านกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยแจ้งข้อกล่าวหานางนุชในข้อหา “คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้” ตามมาตรา 8 ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีโทษตามมาตรา 101
หลังจากแจ้งข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเธอให้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรพรานกระต่ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้หากพบว่ามีการฝ่าฝืนเงื่อนไขการอนุญาตทำงาน อาจมีผลต่อสถานะการพำนักและการได้รับใบอนุญาตทำงานในอนาคตด้วย
สะท้อนปัญหาความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม และบทเรียนของการใช้งานโซเชียล
กรณีนี้นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้โซเชียลมีเดียโดยขาดสติ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งในด้านสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสถานะของผู้พูดเอง เพราะคำพูดในอินเทอร์เน็ตสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว และถูกตีความได้หลากหลาย หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
เรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างแรงงานข้ามชาติและประชาชนไทย โดยเฉพาะในประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับศักดิ์ศรี วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันในสังคมหลากหลาย





















