คุณยายถูกจำคุก 4 ปีจากการตีหลานสาวด้วยรองเท้าแตะ
ในเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตะลึงและนำไปสู่การตั้งคำถามเชิงวัฒนธรรม คุณยายอาซิเย่ คัยตันท (Asiye Kaytan) ถูกศาลตัดสินจำคุก 4 ปี 2 เดือน จากการใช้รองเท้าแตะตีหลานสาว ส่งผลให้สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวกลายเป็นคดีใหญ่ที่ได้รับความสนใจในตุรกี
เหตุการณ์เริ่มต้น ในเมืองปามัคคาเล (Pamukkale) เมื่อคุณยายอาซิเย่พยายามระงับหลานสาวของเธอไม่ให้ออกจากบ้านในเวลากลางคืน ด้วยความวิตกเรื่องความปลอดภัย คุณยายจึงล็อกประตูไว้ ส่งผลให้หลานสาวไม่พอใจและเกิดการทะเลาะกันขึ้น เมื่อหลานสาวยังคงพยายามจะออกไป คุณยายใช้รองเท้าแตะตีที่แขนของหลานด้วยเจตนาเพื่อเตือนและหยุดหลานสาว แต่หลานสาวตอบโต้กลับโดยการใช้โทรศัพท์มือถือฟาดเข้าที่ศีรษะของคุณยายจนเกิดอาการบาดเจ็บ
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำเข้าสู่ศาล เนื่องจากมีการแจ้งความอย่างเป็นทางการ โดยศาลมีคำตัดสินในเบื้องต้นว่าอาซิเย่ กระทำความผิดฐาน "การกักขังผู้อื่นโดยใช้กำลัง" และตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ต่อมา ศาลได้พิจารณาเพิ่มเติมว่ารองเท้าแตะที่คุณยายใช้ตีหลานนั้นถือว่าเป็น "อาวุธ" และเพิ่มโทษเป็น 4 ปี 12 เดือน ก่อนที่จะลดลงเหลือ 4 ปี 2 เดือน แต่คดีนี้ยังคงอยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์
คุณยายอาซิเย่แสดงความตกใจที่รองเท้าแตะถูกจัดว่าเป็นอาวุธ และรู้สึกทุกข์ใจกับการต้องถูกจำคุกในวัยสูงอายุ เธอกล่าวว่า “ฉันเดินแทบไม่ได้ จะอยู่ในคุกอย่างไร? ฉันขอเตือนทุกคนว่าอย่าตีลูกหลานด้วยรองเท้าแตะ เพราะตอนนี้มันถูกจัดเป็นอาวุธ” ขณะที่หลานสาวอาซิเย่ วูราล ยืนยันว่าไม่เคยยื่นฟ้องร้องคุณยายด้วยตัวเอง แต่เธอกล่าวเตือนว่าอย่ามองการตีด้วยรองเท้าแตะว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย
กรณีนี้สร้างการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับวัฒนธรรมการใช้รองเท้าแตะในฐานะเครื่องมือลงโทษเบา ๆ ซึ่งพบได้ในครอบครัวหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ศาลตุรกีกลับตีความว่ารองเท้าแตะเป็น "อาวุธ" ภายใต้กฎหมาย ซึ่งเคยมีการตัดสินคดีในลักษณะคล้ายกันก่อนหน้านี้ในเมืองเดนิซลี (Denizli) การตีความนี้นำไปสู่คำถามเชิงจริยธรรมและกฎหมายเกี่ยวกับเส้นแบ่งระหว่างการอบรมสั่งสอนกับการใช้ความรุนแรง
ในอีกบริบทหนึ่งของการดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดของผู้เป็นยาย คดีในสหรัฐอเมริกาที่คุณยายในรัฐฟลอริดาถูกตัดสินจำคุก 5 ปี เนื่องจากการละเลยให้หลานสาววัยทารกอยู่ในรถที่ร้อนจนเสียชีวิต คดีดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของข้อเท็จจริง และน้ำหนักของการตีความทางกฎหมายในแต่ละประเทศต่อบทบาทของผู้เป็นญาติผู้ใหญ่
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของการกระทำภายในครอบครัวที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทางกฎหมาย การใช้ความรุนแรงในรูปแบบใดก็ตามควรถูกหลีกเลี่ยง แม้เจตนาจะเป็นไปเพื่อการอบรมหรือปกป้องครอบครัว เพราะผลที่ตามมานั้นอาจส่งผลกระทบร้ายแรงเกินกว่าที่คาดคิด















