อิหร่านลั่น! ปฏิเสธเจรจานิวเคลียร์กับสหรัฐฯ
กรุงเตหะราน, อิหร่าน – ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเหนือมหานครเก่าแก่ เสียงสวดมนต์จากมัสยิดก้องสะท้อนผ่านถนนที่พลุกพล่าน แต่ในห้องประชุมแห่งหนึ่ง ณ ใจกลางกรุงเตหะราน การตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้น
อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ สายตาของเขาจ้องตรงไปยังที่ปรึกษาและผู้นำกองทัพที่นั่งเรียงรายอยู่ด้านข้าง ทุกคนรู้ดีว่าคำพูดของชายคนนี้ไม่ใช่แค่เสียงในห้องประชุม แต่มันคือสัญญาณที่จะสั่นสะเทือนทั้งโลก
"เราไม่ต้องการการเจรจากับสหรัฐฯ" คาเมเนอีกล่าว ชัดเจนและหนักแน่น เสียงของเขาดังก้องในความเงียบ "เราเคยไว้ใจพวกเขาครั้งหนึ่ง และเราถูกทรยศ"
ในช่วงเวลานั้นเอง คนที่อยู่ในห้องประชุมต่างรู้ว่า ประตูสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปิดลงแล้ว และคราวนี้ อาจไม่มีวันเปิดขึ้นอีก
ข้ามทวีปไปยังสหรัฐอเมริกา อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงปราศรัยที่เต็มไปด้วยพลัง เขาพูดถึงอิหร่านด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
"ถ้าผมกลับไป อิหร่านจะต้องคุยกับผม" เขาประกาศก้องบนเวทีหาเสียงในฟลอริดา "พวกเขารู้ดีว่าถ้าผมเป็นผู้นำ พวกเขาจะไม่มีทางเลือก"
มันเป็นคำพูดที่สะท้อนถึงอดีตของเขาเอง ทรัมป์เคยเป็นคนที่ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ในปี 2018 และแทนที่มันด้วยมาตรการคว่ำบาตรที่ทำให้เศรษฐกิจอิหร่านปั่นป่วน
แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อิหร่านไม่ได้แค่ปฏิเสธไบเดน แต่พวกเขากำลังปฏิเสธทรัมป์ด้วย
เตหะราน, อิหร่าน – อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้ออกมาประกาศอย่างหนักแน่นว่า อิหร่านจะไม่เจรจากับสหรัฐฯ เรื่องโครงการนิวเคลียร์ ไม่ว่าสหรัฐฯ จะใช้วิธีการใดก็ตาม คำแถลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เคยมีรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยแสดงความสนใจที่จะเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านหากเขากลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง
"เราเคยเห็นแล้วว่าสหรัฐฯ ไม่รักษาคำพูด" คาเมเนอีกล่าวระหว่างการพบปะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอิหร่าน "ไม่ว่าประธานาธิบดีของพวกเขาจะเป็นใคร เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อมั่นในเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา"
ย้อนรอยนโยบายทรัมป์: จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
การปฏิเสธของอิหร่านในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไร้ที่มา หากย้อนกลับไปในปี 2018 ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน หรือ Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่รัฐบาลโอบามาเคยทำไว้กับอิหร่านและมหาอำนาจโลก
การถอนตัวของทรัมป์ทำให้อิหร่านสูญเสียความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ และหันไปเพิ่มระดับการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
"เราถูกสหรัฐฯ หลอกลวงครั้งหนึ่งแล้ว" คาเมเนอีกล่าว "และเราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก"
การตอบโต้ของทรัมป์: "ถ้าผมกลับมา อิหร่านต้องคุยกับผม"
แม้ว่าขณะนี้ทรัมป์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่เขายังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองสหรัฐฯ และมีโอกาสสูงที่จะกลับมาลงชิงตำแหน่งผู้นำประเทศอีกครั้งในปี 2024
ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์ว่า "ถ้าผมกลับไปเป็นประธานาธิบดี อิหร่านจะต้องคุยกับผมแน่นอน พวกเขาจะไม่มีทางเลือก" พร้อมทั้งกล่าวหาว่า นโยบายของโจ ไบเดน อ่อนแอเกินไปและปล่อยให้อิหร่านเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์โดยไม่มีการควบคุม
แต่จากคำกล่าวของคาเมเนอีในครั้งนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า อิหร่าน ไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะพวกเขามองว่าสหรัฐฯ เป็นศัตรูโดยเนื้อแท้
ผลกระทบต่อความมั่นคงโลก
การปฏิเสธของอิหร่านอาจทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกับอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งสำคัญของอิหร่าน อิสราเอลเคยขู่ไว้ว่าหากอิหร่านเดินหน้าสร้างอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาอาจใช้กำลังทางทหารเพื่อหยุดยั้ง
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็อาจเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายที่สนับสนุนนโยบายแข็งกร้าวต่ออิหร่าน โดยเฉพาะจากพรรครีพับลิกัน ที่อาจใช้ประเด็นนี้ในการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป
บทสรุป: การเผชิญหน้าที่ยังไม่จบลง
คำประกาศของคาเมเนอีตอกย้ำให้เห็นว่า อิหร่านไม่มีความสนใจที่จะทำข้อตกลงใดๆ กับสหรัฐฯ อีกต่อไป ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯ จะเป็นไบเดน ทรัมป์ หรือใครก็ตาม
คำถามที่สำคัญคือ หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดี เขาจะใช้มาตรการที่รุนแรงกว่านี้เพื่อบีบให้อิหร่านต้องเจรจาหรือไม่? และหากอิหร่านยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ต่อไป โลกจะรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้อย่างไร?
สงครามเย็นระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังไม่สิ้นสุด และอาจทวีความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต















