หนีทันควัน! "หนุ่มจีน" ทำ "น้องไอ" เสียชีวิต หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
คืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องไอ: พลิกปมการตายที่ซับซ้อนจากเหตุการณ์ในโรงแรม
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการรายงานเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของ นางสาวไอรดา หรือ น้องไอ อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในสังคมไทยอย่างมาก เพราะเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตในโรงแรมภายหลังการถูกบังคับให้อัพยาในช่วงเวลาที่เธอทำงานเอนเตอร์เทนกับ นายดูยิง หรือ หนุ่มจีน โดยจากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในโรงแรม ซึ่งยังไม่สามารถทราบรายละเอียดทั้งหมดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากการตรวจสอบผลการชันสูตรของศพยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องรอผลการตรวจเลือดของผู้เสียชีวิตเพื่อยืนยันหากมีการใช้สารเสพติดหรือไม่
ในขณะนี้ ผลการตรวจเลือดที่มีความสำคัญยังคงอยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์จากแพทย์นิติเวช ซึ่งการตรวจเลือดจะสามารถยืนยันได้ว่าในร่างกายของผู้เสียชีวิตนั้นมีสารเสพติดหรือไม่ ขณะเดียวกันยังมีทางเลือกในการตรวจสอบสารเสพติดจาก โคนเส้นผม แต่เนื่องจากผู้เสียชีวิตถูกเผาทำให้ไม่สามารถเก็บตัวอย่างจากเส้นผมได้ นอกจากนี้ผลการตรวจเลือดจะมีความสำคัญในการช่วยยืนยันสาเหตุที่แท้จริงในการเสียชีวิตของ น้องไอ ว่าเกี่ยวข้องกับการใช้สารเสพติดหรือไม่
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีการพูดถึง บทบาทของตำรวจ ในการจัดการเรื่องคดีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ตำรวจมีการเจรจากับครอบครัวของผู้เสียชีวิต เพื่อให้มีการเยียวยาค่าเสียหาย ซึ่งการกระทำนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่า ตำรวจอาจจะมีส่วนช่วยเหลือผู้ต้องหา เนื่องจากมีการอ้างว่าผู้เสียชีวิตอาจเกี่ยวข้องกับ ยาเสพติด การทำงานในลักษณะนี้ทำให้เกิดความสงสัยในสังคมว่า ตำรวจเข้าข้างผู้กระทำความผิดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อมีการพูดถึงเรื่อง การช่วยเหลือ และ การชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีนี้
พลตำรวจตรีวิชัย สังค์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยมองว่าเรื่องนี้สามารถมองได้ในสองมุมมอง ถ้ามองในแง่ดี การมีตัวกลางในการเจรจาเรื่องค่าเยียวยาก็อาจเป็นการทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกับคดี รถชน ที่ผู้ที่ทำความผิดต้องชดใช้ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจมีการมองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ทั้งนี้ทาง ตำรวจนครบาล ได้เริ่มดำเนินการตั้ง คณะกรรมการสอบสวน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการกระทำผิดจริง อาจจะมีการพิจารณาตาม กฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและการกระทำที่ไม่เป็นธรรม
หนึ่งในประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักคือการที่ นายดูยิง ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ซึ่งทำให้เกิดคำถามในสังคมว่า ตำรวจทำงานช้าเกินไปหรือไม่ เพื่อที่จะดำเนินการจับกุมและตรวจสอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้
ในส่วนของ ผู้การแต้ม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ได้กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะมีการมองว่าการดำเนินการทำงานช้า แต่การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตัดสินใจออกหมายจับและการหาหลักฐานเชิงลึกต้องใช้เวลา ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่า การออกหมายจับ นั้นสามารถพิสูจน์ความผิดได้อย่างแน่นอน
ในระหว่างที่กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ตำรวจ ได้มีการส่งข้อมูลให้กับ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อให้มีการป้องกันไม่ให้ นายดูยิง หลบหนีออกจากประเทศ โดยการสั่งห้ามบุคคลดังกล่าวเดินทางออกจากประเทศ
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญในคดีนี้คือการ ตรวจสอบสารเสพติด ที่อาจจะมีอยู่ในร่างกายของผู้เสียชีวิต ซึ่งข้อมูลที่ได้รับคือการตรวจเลือดจะเป็นเครื่องมือหลักในการยืนยันว่า น้องไอ ได้มีการใช้สารเสพติดหรือไม่ และหากมีการใช้สารเสพติดจริง จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์การกระทำที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม การตรวจจาก โคนเส้นผม จะไม่สามารถทำได้แล้วเนื่องจากศพของผู้เสียชีวิตถูกเผาไปแล้ว ทำให้การตรวจจากเส้นผมไม่สามารถทำได้และต้องพึ่งพาผลการตรวจเลือดจากแพทย์นิติเวชเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าในร่างกายของผู้เสียชีวิตนั้นมีสารเสพติดหรือไม่

















