หมอยงชี้ "โนโรไวรัส ไม่ใช่โรคใหม่"
หมอยง (นพ.ยง ภู่วรวรรณ) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ได้กล่าวถึงโนโรไวรัส (Norovirus) ว่าไม่ใช่โรคใหม่ และไม่ต้องตกใจเมื่อพบการระบาดในช่วงเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากโนโรไวรัสเป็นไวรัสที่มีมานานแล้ว และมีการระบาดในหลายพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความตระหนกในช่วงหลัง อาจเป็นเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนจำนวนมาก รวมถึงการที่อาการของโรคคล้ายกับอาการท้องเสียหรืออาเจียนจากโรคอื่นๆ
โดยทั่วไป โนโรไวรัสจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน คลื่นไส้ และปวดท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายใน 12-48 ชั่วโมงหลังจากการติดเชื้อ และมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน แต่ในบางกรณีที่อาการรุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการขาดน้ำ หรือการสูญเสียน้ำในร่างกายจากการอาเจียนและท้องเสียที่ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
แม้ว่าโนโรไวรัสจะไม่ใช่โรคใหม่ แต่การระบาดของมันมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล, ร้านอาหาร, หรือแม้แต่บนเรือสำราญ เนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัสในพื้นที่ที่มีการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ชักโครก, จานชาม หรือแม้แต่การสัมผัสพื้นผิวต่างๆ ที่มีการปนเปื้อนจากน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ติดเชื้อ
ในแง่ของการป้องกันการแพร่ระบาดของโนโรไวรัส หมอยงแนะนำให้มีการล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากใช้ห้องน้ำหรือสัมผัสสิ่งของที่อาจมีการปนเปื้อนเชื้อ และต้องระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหารและดื่มน้ำที่มีความสะอาด ทั้งนี้ เนื่องจากไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่าย แม้จะมีปริมาณเชื้อไวรัสไม่มากก็ตาม
ในกรณีของการรักษา โนโรไวรัสจะไม่มีการใช้ยาต้านไวรัสโดยตรง เนื่องจากอาการมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน การรักษาจึงเน้นที่การดูแลอาการและป้องกันภาวะขาดน้ำ ด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่หรือสารละลายอิเล็กโทรไลต์เพื่อทดแทนของเหลวที่สูญเสียไป
หมอยงยังเน้นย้ำว่าความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและวิธีการป้องกันที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกเกินไป เพราะโนโรไวรัสไม่ได้เป็นโรคที่มีอันตรายถึงชีวิตในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่การดูแลสุขภาพทั่วไปและการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดนั้นก็ยังคงสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้น แม้ว่าโนโรไวรัสจะไม่ใช่โรคใหม่ แต่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของโรค การแพร่กระจายของไวรัส และการป้องกันที่เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลา






















