เวิร์คพอยท์พลิกโฉม! ลดคน-เลิกละคร เน้น T-Pop อีเวนต์ ต้องกำไร20-25%
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคส่งผลกระทบต่อทุกภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสื่อดั้งเดิมอย่าง “ทีวีดิจิทัล” ซึ่งกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก เนื่องจากผู้บริโภคหันไปเสพคอนเทนต์ผ่านสื่อออนไลน์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมากขึ้น ในขณะเดียวกัน บรรดานักการตลาดและแบรนด์สินค้าก็เลือกทุ่มงบโฆษณาไปกับช่องทางดิจิทัลที่สามารถวัดผลได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
หนึ่งในผู้เล่นสำคัญในวงการทีวีดิจิทัลอย่าง “เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)” กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยอดรายได้จากการขายโฆษณาลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 509.7 ล้านบาท ลดลงถึง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีการขาดทุนถึง 17.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลประกอบการรวม 9 เดือน มีรายได้รวม 1,612.4 ล้านบาท ลดลง 13% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 41.2 ล้านบาท ลดลงมากถึง 55%
จากการวิเคราะห์โดย สุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินการลงทุน และ ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลของเวิร์คพอยท์ พบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อรายได้โฆษณามีดังนี้
1. พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป:
ผู้ชมดูโทรทัศน์แบบดั้งเดิมน้อยลง และหันไปดูคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น YouTube, Netflix, TikTok และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่น ๆ มากขึ้น
2. เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว:
สถานการณ์เศรษฐกิจทำให้แบรนด์และนักการตลาดต้องรัดเข็มขัดด้านการใช้งบประมาณโฆษณา โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการโฆษณาทางโทรทัศน์
3. การแข่งขันที่รุนแรง:
มีช่องทางใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาไปจากทีวีดิจิทัล
จากสถานการณ์เหล่านี้ ทำให้เวิร์คพอยท์คาดการณ์ว่า รายได้จากการขายโฆษณาในปี 2568 จะอยู่ที่ 1,100 - 1,150 ล้านบาท ลดลงประมาณ 5-10% จากปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะปิดที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท
กลยุทธ์การปรับตัวของเวิร์คพอยท์ในปี 2568
เพื่อรับมือกับความท้าทายและชดเชยรายได้โฆษณาที่ลดลง เวิร์คพอยท์ได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ โดยเน้นความหลากหลายของการสร้างรายได้และการลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ยุติการผลิตละครเพื่อลดต้นทุน
เวิร์คพอยท์ตัดสินใจยุติการผลิตละครอย่างถาวร และปิดแผนกธุรกิจละคร ส่งผลให้ต้อง เลิกจ้างพนักงานในส่วนนี้ ซึ่งจะช่วยบริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 100 - 150 ล้านบาทต่อปี
ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 บริษัทจะนำละครที่ยังค้างอยู่ในสต๊อกจำนวน 2 เรื่องครึ่ง มาออกอากาศให้หมด ส่งผลให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ประมาณ 30 - 40 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงรับจ้างผลิตละครให้กับช่องอื่น ๆ เพื่อเป็นคอนเทนต์โปรวายเดอร์ และยังคงหารายได้จากการผลิตคอนเทนต์รูปแบบอื่น ๆ
2. รุกธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน T-Pop
เวิร์คพอยท์มุ่งเน้นการสร้างและบริหารศิลปินในแนว T-Pop ผ่านค่าย “XOXO Entertainment” ซึ่งขณะนี้มีเด็กฝึกอยู่ในสังกัดจำนวน 24 คน โดยมีแผนที่จะเปิดตัวศิลปินเดี่ยว, บอยแบนด์ และเกิร์ลกรุ๊ป ประมาณ 2-3 กลุ่ม ในปีหน้า
นอกจากนี้ ศิลปินในสังกัด เช่น 4EVE และ ATLAS ยังมีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศ รวมถึงร่วมทุนกับ “เบิ้ล ปทุมราช” ในการตั้งบริษัท “ดับเบิ้ลพอยท์ 988 จำกัด” เพื่อปั้นศิลปินเพลงอินดี้
3. การจัดอีเวนต์และคอนเสิร์ต
บริษัทจะลดจำนวนการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศลง เนื่องจากตลาดนี้มีการแข่งขันสูง (Red Ocean) แต่จะหันมาให้ความสำคัญกับการจัดคอนเสิร์ตของศิลปิน T-Pop ในสังกัดแทน พร้อมกับการจัดละครเวทีอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าการจัดอีเวนต์ราว 50 งาน ในปี 2568 พร้อมทำกำไรให้ได้ประมาณ 20-25%
4. ผลิตภาพยนตร์ปีละ 2-3 เรื่อง
เวิร์คพอยท์วางแผนที่จะผลิตภาพยนตร์ปีละ 2-3 เรื่อง ผ่านบริษัทในเครืออย่าง “จังก้า” โดยมีงบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100 - 120 ล้านบาท
5. ผลิตรายการตามความต้องการของลูกค้า (Tailor-Made Content)
ปัจจุบัน เวิร์คพอยท์ผลิตรายการตามความต้องการของลูกค้าหลายแบรนด์ เช่น
Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ ของบางจาก
The MIX Master ของเนสกาแฟ
6. ผนึกกำลังกับแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ (OTT)
เวิร์คพอยท์ยังจับมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ในการผลิตรายการ เช่น โอ้ละหนอ I Love เมืองไทย และ The MARK Soulmate เพื่อขยายฐานผู้ชมไปยังผู้ใช้งานออนไลน์
จากกลยุทธ์การปรับตัวดังกล่าว เวิร์คพอยท์ตั้งเป้าว่ารายได้ในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยหวังจะทำกำไรได้ 2-3% จากการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ และการสร้างศิลปิน T-Pop รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตในอนาคต
อ้างอิงจาก: เวิร์คพอยท์