พบศพพ่อลูกตายปริศนา ท่อนล่างเปลือย อึ้ง!เครื่องราง’ของขลังเต็มบ้าน
พบศพพ่อลูกตายปริศนา ท่อนล่างเปลือย
อึ้ง!เครื่องราง’ของขลังเต็มบ้าน
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ร.ต.อ.อภินันท์ พลศร รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งว่ามีเหตุพบศพ 2 พ่อลูกนอนตายแห้งกรังเหลือแต่โครงกระดูกและหัวกะโหลก ภายในบ้านร้าง หมู่ 5 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.กิตติชัย ไกรนรา ผกก.,และตำรวจชุดสืบสวน,แพทย์เวรโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่มูลนิธิประชาร่วมใจ รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
เมื่อถึงบ้านเกิดเหตุเป็นบ้านไม้ สภาพเก่าทรุดโทรมบริเวณประตูภายในบ้านพบศพ นางสาวเกศชฎา หรือ แอ๊ะ อายุ 57 ปี สภาพนอนหงายเสียชีวิตในชุดเสื้อสีเหลือง ท่อนล่างเปลือยเปล่า มีเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ห่มทับ ศพพองอืดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีหนอนไต่ไชชอนทั่วร่าง เบื้องต้นตรวจสอบยังไม่พบบาดแผล ตำรวจและแพทย์ อยู่ระหว่างตรวจสอบ คาดว่านางสาวเกศชฎา หรือ แอ๊ะ เสียชีวิตมาแล้ว 1 – 2 วัน ห่างเล็กน้อยพบศพนายสำเริง หรือ ลุงเริง อายุ 87 ปี สภาพศพแห้งกรังเป็นโครงกระดูกและกะโหลกศีรษะหนอนไต่ชอนไช คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี แต่ยังไม่พบบาดแผลการเสียชีวิตที่แน่ชัด อยู่ระหว่างการตรวจสอบของตำรวจและแพทย์เวร นอกจากนี้ตรวจสอบภายในบ้านพบวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง กุมารทอง รูปปั้นบูชา และผ้ายันต์หลายชนิดเต็มบ้าน
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ปลายปี 2563 นายสำเริง ป่วยเข้าโรงพยาบาล หลังออกโรงพยาบาล นางสาวเกศชฎา พาพ่อมาพักอาศัยบ้านดังกล่าว โดยทราบว่า นางสาวเกศชฎา ไม่ยอมให้ญาติหรือใครเยี่ยมหรือพบนายสำเริง จนเป็นที่คลางแคลงใจของญาติและเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ทางตำรวจสอบสวนทราบว่า นางเกศชฎา มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับเรื่องไสยศาสตร์ อีกด้วย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง ตำรวจจะเร่งสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตปริศนา 2 พ่อลูกต่อไป
ล่าสุดหลังแพทย์เวรโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เดินทางถึงที่เกิดเหตุ และทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด ในที่เกิดเหตุ ศพแรกนางสาวเกศชฎา หรือ แอ๊ะ แพทย์ระบุว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้ว 1 -2 วัน แต่ยังไม่พบบาดแผลถูกทำร้ายร่างกาย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตจากโรคประจำตัว แต่เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แพทย์นำร่างนางสาวเกศชฏา ผ่าศพชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง ส่วนศพนายสำเริง หรือ ลุงเริง แพทย์ระบุว่าสภาพศพเหลือแต่โครงกระดูก คาดว่าเสียชีวิตมานานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ไม่สามารถทำการผ่าชันสูตรได้ จึงให้ญาตินำศพไปบำเพ็ญกุศลตามศาสนา
ต่อมาทางตำรวจ สอบสวนปากคำญาติผู้เสียชีวิตทราบว่าเบื้องต้น ไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ญาติเชื่อว่าผู้เสียชีวิตทั้งสองพ่อลูกน่าจะเสียชีวิตจากโรคประจำตัว และสาเหตุที่นายสำเริงฯเสียชีวิตมานานเกือบ1ปีแล้ว แต่นางเกศชฎา ลูกสาวไม่ยอมไปแจ้งกับญาติว่าพ่อเสียชีวิตแล้วเนื่องจากนางเกศชฎา ไม่มีรายได้จากไหน อาศัยเงินยังชีพผู้สูงอายุ 800 บาท จากพ่อใช้ทุกเดือนทำให้นางเกศชฎา ไม่ยอมยอกใครว่าพ่อเสียชีวิตนานแล้ว กระทั่งนางเกศชฎา เสียชีวิตตายตามเป็นศพที่ 2 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แพทย์เวรและญาติเชื่อว่านางเกศชฎา น่าป่วยเป็นโรคประจำตัวและเสียชีวิตเอง แต่เพิ่งมาคนมาพบ เนื่องจากบ้านที่เกิดเหตุอยู่ห่างไกลจากบ้านผู้คน จึงไม่ค่อยมีญาติเข้ามาดู กระทั่งญาติมาพบกลายเป็นศพ2พ่อลูกดังกล่าว
ขณะที่ตำรวจ สอบสวนปากคำนายชาคริต อายุ 54 ปี น้องชายนางสาวเกสชฎา ให้การว่า บ้านหลังดังกล่าวนางสาวเกศชฎา พักอาศัยกับนายสำเริง พ่อ โดยนายชาคริตฯ และญาติไม่ได้พบพ่อมานานแล้ว ตั้งแต่พ่อออกจากโรงพยาบาล พักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่บ้านเกิดเหตุกับนางสาวเกศชฎา เมื่อญาติมาเยี่ยมนางสาวเกศชฎา น้องสาว บ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ทุกคนเข้าในบ้าน โดยบอกว่าพ่อ สบายดี ก่อนพบศพมีฝนตก เกรงว่าบ้านที่เกิดเหตุจะถูกน้ำท่วม จึงเดินทางมาดู กระทั้งเปิดประตูบ้านพบศพนางสาวเกศชฏา สภาพขึ้นอืด ส่วนศพนายสำเริง สภาพศพแห้งกรัง ซึ่งญาติเชื่อสาเหตุการตายของนางสาวเกศชฏา มาจากโรคประจำตัว โรคความดันโลหิตสูง แต่ไม่ได้ไปพบแพทย์ ประกอบกับผิดปกติทางจิตเวชด้วย ส่วนนายสำเริง เชื่อว่าตายเนื่องจากป่วยติดเตียง ซึ่งทางพนักงานสอบสวนร่วมกับแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชนำศพไปผ่าชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายโดยละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป