เปิดคำร้องข้อกล่าวหา'ทนายตั้ม'ทั้งหมด!
8 พ.ย.2567 เวลา 13.40 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ฉ้อโกง , ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
ตามคำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างทนายตั้มให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาทนายตั้มได้หลอกลวงเจ๊อ้อยให้หลงเชื่อจนส่งเงินให้แก่ทนายตั้มหลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
1.ทนายตั้มหลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของทนายตั้มคิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
2. เจ๊อ้อยได้มอบหมายให้ทนายตั้มหาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และถูกหลอกว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วราคาเพียง 11,400,000 บาทโดยไม่มีราคาติดฟิล์มทำให้ทนายตั้มได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
3. ทนายตั้มได้หลอกเจ๊อ้อยว่าตนได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรมที่เจ๊อ้อยจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วทนายตั้มได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ทนายตั้ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
ตามคำร้องการกระทำดังกล่าวของทนายตั้ม เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบว่าทนายตั้มและภรรยามีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน
1. หลังจากทนายตั้มได้รับโอนเงินจากเจ๊อ้อยจำนวน 71 ล้านบาทเศษก็ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ภรรยา
2. ทนายตั้มได้รับมอบเงินสดของเจ๊อ้อยที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาท ได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของภรรยาก่อนพี่สาวของภรรยาจะนำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
ซึ่งท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากทนายตั้มเป็นทนายความทีามีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนภรรยาก็เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกันย่อมรู้เห็นและร่วมกระทำความผิดฟอกเงิน
นอกจากนี้ยังระบุว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
ทนายตั้มได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตน โดยทนายตั้มมีพฤติการณ์ที่ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี
ทนายตั้มมีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมทนายตั้มและบุคคลใกล้ชิด มีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือและพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ทนายตั้มใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไปและขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของทนายตั้มและภรรยา พบว่าโทรศัพท์มือถือทนายตั้มใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของภรรยา ส่วนโทรศัพท์มือถือของภรรยาใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาว ซึ่งทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์
นอกจากนี้จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักของทนายตั้มและภรรยาพบว่าภายในมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อนและพบว่ามีร่องรอยการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใด ๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว จึงเชื่อว่าทนายตั้มและภรรยาร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
ในขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมทนายตั้มและภรรยาซึ่งขับรถอยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวจึงมีเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
คดีที่ทนายตั้มและภรรยาถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี โดยฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินจากเจ๊อ้อยไปรวม 78,097,764.70 บาท จึงมีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวโดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากทนายตั้มและภรรยาได้รับการปล่อยชั่วคราวเกรงจะหลบหนีซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่าทนายของภรรยาของทนายตั้มได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไล EM รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
สำหรับการสอบสวนเบื้องต้น ทั้งทนายตั้มและภรรยาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้ง 3 คดี โดยให้การในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีในมุมมองของตนเองตามที่มีการกล่าวหา
พนักงานสอบสวนเองก็ยื่นคัดค้านการประกันตัวของ ทนายตั้ม และ ภรรยา ที่ศาล เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, ข่มขู่พยาน และมีพฤติการณ์หลบหนี
การดำเนินการต่อไปจะมีการขยายผลเกี่ยวกับผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่นๆ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใด ก็จะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติม