นักวิทยาศาสตร์เผย ภายในปี 2593 ผลผลิตอาหารทั่วโลกจะลดลงครึ่งหนึ่ง อันเนื่องมาจากวิกฤติการณ์น้ำ
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกทั้งสิ้น โดยเป็นการรายงานข่าวของสำนักข่าวซินหัวรายงานจากกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ในวันนี้ (20 ตุลาคม 2567) ว่ารายงาน เศรษฐศาสตร์น้ำ การวัดคุณค่าวัฏจักรของน้ำในฐานะสินค้าเพื่อประโยชน์สาธารณะ จากคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยเศรษฐศาสตร์น้ำ ระบุว่า วัฏจักรน้ำอันไร้สมดุล จะสร้างหายนะแก่เศรษฐกิจและมนุษยชาติทั่วโลกเพิ่มขึ้น หากมนุษย์ไม่เร่งการแก้ไข การผลิตอาหารของโลกมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเผชิญกับความเสี่ยงจากวิกฤติน้ำ ภายในปี 2593 โดยวิกฤติน้ำยังอาจส่งผลให้นานาประเทศทั่วโลกสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เฉลี่ย 8% ภายในปี 2593 โดยกลุ่มประเทศรายได้ต่ำอาจเผชิญกับภาวะจีดีพีหดตัว มากถึง 15% และเผชิญกับผลพวงทางเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งกว่าด้วย
รายงานฉบับนี้เน้นย้ำว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การใช้ที่ดินอย่างอันตราย และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำผิดพลาดเรื้อรัง กอปรกับวิกฤติสภาพอากาศที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วัฏจักรน้ำทั่วโลกตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประชาชนเกือบ 3,000 ล้านคน และการผลิตอาหารมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก อาศัยอยู่ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง หรือมีแนวโน้มมีน้ำใช้โดยรวมที่ไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน เมืองหลายแห่งบนโลกกำลังเสี่ยงทรุดตัวจมลงเพราะสูญเสียน้ำใต้ดิน
นายโจฮัน ร็อกสตรอม ผู้อำนวยการสถาบันพอตส์ดัมเพื่อการวิจัยผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศ หนึ่งในสี่ประธานร่วมของคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยเศรษฐศาสตร์น้ำ กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรครึ่งหนึ่งของโลกประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำ การขาดแคลนน้ำที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนามนุษย์เผชิญความเสี่ยง มนุษย์กำลังทำลายสมดุลของวัฏจักรน้ำทั่วโลก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มนุษย์ไม่สามารถพึ่งพาแหล่งน้ำจืดหลักอย่างหยาดน้ำฟ้าได้อีกต่อไป เพราะมนุษย์เป็นต้นตอของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและที่ดิน บ่อนทำลายพื้นฐานชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และเศรษฐกิจโลก . . . ได้แต่หวังว่าก่อนถึงวันนั้น เราจะหาทางแก้ไขหรือชะลอวิกฤติในเรื่องนี้ได้