ค่าเงินเปลี่ยนแปลงทำไม และเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
เราอาจเคยสงสัยกันใช่ไหม ว่าทำไมค่าเงินถึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเงินบาทหรือสกุลเงินอื่นๆ ทำไมบางครั้งค่าเงินบาทแข็งขึ้น บางครั้งก็อ่อนลง บางครั้งเราซื้อของได้ในราคาถูกกว่าแต่บางทีกลับต้องจ่ายแพงขึ้น ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินที่ไม่หยุดนิ่ง วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันดีกว่า ว่าค่าเงินเปลี่ยนแปลงทำไม และมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง
ค่าเงินคืออะไร?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าค่าเงินคืออะไร ค่าเงินในที่นี้หมายถึง "อัตราแลกเปลี่ยน" ซึ่งก็คือราคาของสกุลเงินหนึ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนกับสกุลเงินอีกสกุลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าเราบอกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 35 บาท นั่นหมายความว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์อยู่ที่ 35:1 ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงเป็น 36:1 ก็แสดงว่าค่าเงินบาทอ่อนลง (เพราะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลก 1 ดอลลาร์) แต่ถ้าลดลงเป็น 34:1 ค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น
ค่าเงินของประเทศหนึ่งไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันหรือแม้กระทั่งในทุก ๆ วินาที
ปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลง
มีหลายปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ละปัจจัยอาจส่งผลในทิศทางที่ต่างกัน เนื่องจากมันถูกกำหนดโดยอุปสงค์ และอุปทาน ของเงินในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
1. อุปสงค์และอุปทานของเงิน
หลักการพื้นฐานที่สุดที่ส่งผลต่อค่าเงินคือกฎของอุปสงค์และอุปทาน ถ้าเงินสกุลหนึ่งมีความต้องการมาก(อุปสงค์สูง) ค่าเงินจะสูงขึ้นหรือแข็งขึ้น เพราะคนต้องการใช้เงินสกุลนั้นในการทำธุรกรรม แต่ถ้าเงินสกุลหนึ่งถูกปล่อยออกมามากเกินไป(อุปทานสูง) และมีคนต้องการใช้เงินสกุลนั้นน้อยลง ค่าเงินก็จะอ่อนตัวลง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศไทยมีการส่งออกสินค้ามาก ความต้องการใช้เงินบาทเพื่อชำระค่าสินค้าในตลาดโลกก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น แต่ถ้าประเทศไทยต้องการนำเข้าสินค้ามาก ความต้องการใช้เงินต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง
2. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)
อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดมีผลโดยตรงต่อค่าเงิน ถ้าประเทศหนึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูง นักลงทุนต่างประเทศจะสนใจมาลงทุนในประเทศนั้นมากขึ้น เพราะได้รับผลตอบแทนสูง ความต้องการเงินสกุลนั้นก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินแข็งตัวขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าประเทศมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนในประเทศนั้นอาจไม่น่าสนใจ ทำให้ค่าเงินอ่อนตัว
ยกตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักลงทุนจะนำเงินไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น เพราะมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น
3. การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth)
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็มีผลต่อค่าเงิน ถ้าประเทศหนึ่งมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง นักลงทุนต่างชาติจะมั่นใจในการลงทุนและซื้อสินทรัพย์ในประเทศนั้นมากขึ้น ความต้องการสกุลเงินของประเทศนั้นก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งตัว
ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหา นักลงทุนอาจถอยออกและย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง
4. เงินเฟ้อ (Inflation)
อัตราเงินเฟ้อก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อค่าเงิน ถ้าประเทศหนึ่งมีอัตราเงินเฟ้อสูง สินค้าและบริการในประเทศนั้นจะมีราคาแพงขึ้น คนอาจไม่อยากถือเงินสกุลนั้นไว้ เพราะเงินนั้นจะมีมูลค่าลดลง ทำให้ค่าเงินอ่อนตัว ในขณะที่ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ เงินจะคงมูลค่าได้ดี และทำให้ค่าเงินแข็งตัว
5. ความไม่แน่นอนทางการเมือง (Political Instability)
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความวุ่นวายในประเทศสามารถทำให้ค่าเงินอ่อนตัวได้ เช่น การประท้วง การรัฐประหาร หรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากนักลงทุนเห็นว่าประเทศนั้นมีความเสี่ยงทางการเมืองสูง พวกเขาอาจไม่ต้องการถือเงินสกุลนั้นหรือสินทรัพย์ในประเทศนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนลง
ในทางกลับกัน หากประเทศมีความมั่นคงทางการเมือง การลงทุนจะได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น ทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งตัว
6. นโยบายทางการเงิน (Monetary Policy)
การกำหนดนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางมีผลกระทบอย่างมากต่อค่าเงิน เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือการพิมพ์เงินออกมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ นโยบายเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ค่าเงินแข็งตัวหรืออ่อนตัวได้
ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางของประเทศพิมพ์เงินออกมาในระบบมากเกินไป จะทำให้เงินล้นตลาดและค่าเงินอ่อนตัวลง (เช่นที่เกิดในบางประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อสูง) ในทางกลับกัน ถ้ามีการควบคุมปริมาณเงินอย่างเหมาะสม ค่าเงินจะคงที่มากขึ้น
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและส่วนบุคคล เช่น
- การนำเข้าและส่งออก: เมื่อค่าเงินแข็งขึ้น สินค้าที่ส่งออกจากประเทศจะมีราคาแพงขึ้น ทำให้แข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ยากขึ้น แต่สินค้านำเข้าจะถูกลง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคและผู้นำเข้า
- การท่องเที่ยว: หากค่าเงินแข็งขึ้น นักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศอาจรู้สึกว่าประเทศนั้นมีราคาแพง ทำให้การท่องเที่ยวชะลอตัว แต่ในทางกลับกัน คนในประเทศจะสามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้ถูกลง
- ค่าครองชีพและเงินเฟ้อ: เมื่อค่าเงินอ่อนลง ราคาสินค้านำเข้าจะแพงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพจะสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน