สัตวแพทย์ชี้'ปางช้างชื่อดัง'ควรทำอะไร
อ้างอิงจากเพจเฟซบุ๊ก The Structure คุณหมอมามี-สพ.ญ.นฤพร กิตติศิริกุล สมาชิกทีมสัตวแพทย์หมอช้างได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2567 ถึงกรณีน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ปางช้างหลายแห่งสามารถเคลื่อนย้ายช้างหนีน้ำท่วมได้ทัน ยกเว้นปางช้างแห่งหนึ่งซึ่งเลี้ยงช้างด้วยแนวคิดว่าห้ามใช้อุปกรณ์จับ แตะ สัมผัส ออกคำสั่ง จนทำให้ช้างปฏิเสธการคล้องโซ่ตอนช่วยให้ช้างหนีน้ำทำให้ช้างจมน้ำในที่สุด โดยมีข้อความว่า
“เกริ่นก่อนว่าปางช้างในส่วนแม่แตงมีกว่า 20 ปางที่อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน พื้นที่เดียวกัน และได้รับผลกระทบกันทั้งหมด มีตั้งแต่ปางที่มีช้างหลัก 2-3 เชือกไปจนถึง 100 เชือก คละกันไป แต่ปางที่ได้รับความสนใจทั้งการช่วยเหลือด้านการเงินอย่างมากล้น และความช่วยเหลือจากสื่อหลักกลับเป็นแค่ปางเดียว…
มีการแจ้งเตือนเรื่องน้ำล่วงหน้าแล้ว ทำให้แต่ละปางมีการเตรียมการตั้งรับ ย้ายช้างขึ้นที่สูง ทำให้ไม่เกิดอันตราย ซึ่งข้อนี้ต้องยกให้พี่ควาญช้างและเจ้าของที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับช้าง ฝึกให้ช้างเข้าใจการจับบังคับ(เปรียบเทียบคล้ายกับฝึกให้น้องหมาเข้าใจการใช้สายจูง คำสั่งลุกนั่งนอน)
สามารถขี่-จูงช้างไปได้อย่างปลอดภัยทั้งคนทั้งช้าง + เมื่อสามารถสื่อสารได้เข้าใจก็สามารถพาไปไหนก็ได้อย่างอิสระ ร่วมกับการใช้โซ่ลามไว้ในบริเวณที่ปลอดภัย ซึ่งสามารถปรับความยาวสั้นของโซ่ได้ ไม่ต้องพึ่งกรงหรือคอก
เมื่อเกิดวิกฤตชาวช้างทุกคนช่วยเหลือกันดีมากๆ ทั้งพี่ควาญช้าง พี่เจ้าของช้าง หมอช้าง รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอยากจะช่วยช้างทุกเชือกให้ออกมาอย่างปลอดภัย แต่ต้องบอกว่าการเข้าช่วยเหลือช้างแต่ละตัวที่ประสบภัยอยู่มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยทั้งต่อคนที่เข้าไปช่วย และช้างที่รอความช่วยเหลือ ยกตัวอย่างข้อจำกัด…
-ช้างที่เติบโตมากับแนวคิดที่ว่าห้ามใช้อุปกรณ์อะไรจับ แตะ สัมผัส ออกคำสั่ง ทำให้เมื่อเห็นเชือก ขอ โซ่ ก็ตั้งป้อมใส่คนที่เข้ามาแล้วว่าจะอันตราย ก็ตั้งท่าเตรียมสู้กลับ (ซึ่งถ้าช้างเอาจริงก็คือเจ็บหนักกันแน่ๆ)
-ควาญช้างที่ได้รับมอบหมายให้จัดหญ้า และทำความสะอาดคอกช้าง โดยไม่สามารถขี่ ฝึกฝนให้ช้างเคยชินกับน้ำเสียง และคำสั่งพื้นฐานได้เลย ไม่สามารถควบคุมให้ช้างเดินตาม หรือพาไปผูกมัดยังที่ปลอดภัยได้
แต่ถึงอย่างนั้นพี่ๆควาญช้างที่มีความชำนาญในการควบคุมช้างก็ระดมคนกันเข้าไปช่วยช้างเหล่านั้นที่ติดอยู่ในคอก (เพราะเกินกำลังที่คนในปางเองจะสามารถช่วยกันพาออกมาได้ ด้วยข้อจำกัดข้างต้น…) และการเข้าหาช้างในจุดที่น้ำท่วมสูง หากเกิดอันตรายตัวคนที่ช่วยเองถ้าหลบไม่ทันก็มีโอกาสบาดเจ็บหนักจากช้าง ยังไม่รวมกับการต้องฝ่าน้ำที่สูงและเชี่ยวเข้าไป
แม้ว่าปัญหาอุทกภัยจะไม่ได้มีต้นเหตุมาจากวิถีการเลี้ยงช้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า วิถีการเลี้ยงช้างดั้งเดิมของคนไทยทำให้เกิด bonding (ความผูกพัน) ระหว่างคนและช้าง จนสามารถอพยพช้างส่วนใหญ่ให้พ้นภัยได้เกือบทั้งหมด แต่กลับกันการเลี้ยงช้างอีกวิถีทำให้เกิดข้อจำกัดมากมายขึ้น
ซึ่งถ้าวิถีการเลี้ยงช้างไม่สุดโต่งมากขนาดนี้ คนที่มีแนวคิดนี้ ไม่ไปว่าการเลี้ยงช้างดั้งเดิมจนเสียๆหายๆ ลามไปถึงต่างประเทศแอนตี้การเลี้ยงช้างดั้งเดิม จนเลือกแบนและไม่เที่ยว มันก็น่าจะเป็นภาพที่ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้อย่างดี….
การออกมาพูดในเรื่องนี้อยากให้ทุกคนที่เสพข่าวได้มองหลายๆด้าน ถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น หรือให้เกิดการพูดคุยกันก็ดีกว่ารอจนทุกอย่างคลี่คลายแล้วทุกคนก็แยกย้าย…จบ
ทุกๆคนก็รักช้างกันทั้งนั้น ถ้าเราช่วยกันตั้งแต่ยามสงบสุขก็อาจจะไม่มาถึงยามทุกข์แบบนี้ก็ได้…
ส่งกำลังใจต่อเนื่องให้ทีมหน้างานทุกท่านนะคะ
.
นอกจากนี้คุณหมอมามียังได้แชร์โพสต์จากสัตวแพทย์ผู้รักษาช้างโดยเฉพาะท่านอื่น ซึ่งกล่าวถึงความพยายามผลักดันในการยกให้วิถีการเลี้ยงช้างของไทยให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และตัดพ้อถึงการที่มีผู้ต่อว่าคนไทยว่าไม่รักช้างซึ่งไม่เป็นความจริง และได้อธิบายถึงการทำงานในเหตุน้ำท่วมปางช้างในเชียงใหม่ในครั้งนี้
คุณหมอมามียังแชร์โพสต์ของคลินิกช้างปางช้างแม่แตง ที่โพสต์บอกเล่าเรื่องราวสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและกังวลถึงวิธีการฝังศพช้างของปางช้างชื่อดังเช่นกัน ซึ่งหากอ้างอิงจากคู่มือการจัดการปางช้างของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ ได้ระบุไว้ว่า "การฝังช้างทำโดยขุดหลุมลึก 4-6 เมตร โรยฆ่าเชื้อโรคด้วยปูนขาว"
ทางคลินิกช้างปางช้างแม่แตงยังพูดถึงการฝากส่งช้างของปางช้างชื่อดังอีกว่า
"ความยากลำบากในการ เคลื่อนย้ายน่าจะเป็นปัจจัยหลักแต่ก็ยังหวังให้เจ้าของ ช้างหรือผู้ปฏิบัติงานคำนึงถึงปัญหาที่อาจจะเกิดตามมา เช่น ซากเน่าส่งกลิ่นเหม็น เชื้อโรคที่อาจจะไปพร้อมกับ น้ำ ความเสี่ยงที่จะเกิกโรคระบาด น้ำใหม่กวาดไปแต่ ทรายทิ้งซากไว้ หรือน้ำกัดเซาะแล้วพัดไปทั้งซาก ตอนนี้ ไม่รู้ว่ายังสามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ใหม่หรือไม่ หรือเรา จะต้องมารอดูว่าสิ่งที่เรากังวลมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่"
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/share/p/AwfpV9vNxGTMVeox/
https://www.facebook.com/share/p/VdZnvUQVDZRnRJhd/
https://www.facebook.com/share/p/p2x9Thoo2BLfNGME/
https://www.facebook.com/share/p/Gw31rk5swBSgG4bL/
https://www.facebook.com/share/p/VdZnvUQVDZRnRJhd/
https://www.facebook.com/share/ZaTENsAkyjQDBoNt/