โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกียวโตทำการปลูกถ่ายไตระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกียวโตทำการปลูกถ่ายไตระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกียวโตจัดแถลงข่าวที่เมืองเกียวโต เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2024 เกี่ยวกับการปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน (Kyodo)
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2024 โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกียวโตแถลงข่าวเกี่ยวกับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการเปิดเผยการทำปลูกถ่ายไตระหว่างคู่รักเพศเดียวกันต่อสาธารณชน
ศาสตราจารย์ทาคาชิ โคบายาชิ ผู้ทำการผ่าตัดครั้งนี้กล่าวว่า กรณีนี้อาจเป็น "แบบอย่างที่มีคุณค่า" สำหรับผู้ป่วยที่เป็นชนกลุ่มน้อยทางเพศ ซึ่งเคยคิดว่าไม่สามารถรับการปลูกถ่ายจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติได้
คู่รักดังกล่าวกล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราหวังว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะเป็นแสงสว่างสำหรับผู้ป่วยที่เคยละทิ้งความหวังในการได้รับการปลูกถ่าย"
แนวปฏิบัติด้านจริยธรรมของสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศญี่ปุ่นจำกัดให้ผู้บริจาคอวัยวะที่มีชีวิตต้องเป็นคู่สมรสหรือญาติสายตรง อย่างไรก็ตาม ผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมของสถาบันการแพทย์แต่ละแห่ง ซึ่งในกรณีนี้ผู้บริจาคถือเป็นบุคคลที่สาม ทางคณะกรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลได้พิจารณาอย่างละเอียดก่อนการอนุมัติการผ่าตัด
เอกสารต่าง ๆ รวมถึงผลการประเมินทางจิตเวชเพื่อยืนยันความสมัครใจในการบริจาค และคำสาบานการเป็นคู่รักของทั้งสองถูกส่งไปยังคณะกรรมการจริยธรรมของสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้อนุมัติในเดือนมกราคม
ศาสตราจารย์โคบายาชิกล่าวว่า "คำสาบานภายใต้ระบบการเป็นคู่รักได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงเจตจำนงเสรีและพิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเทียบเท่ากับคู่สมรส"
ทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2019 และในเดือนสิงหาคม 2023 คำสาบานของพวกเขาได้รับการยอมรับจากรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเกียวโต ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังในปี 2022 และต้องเข้ารับการฟอกไตตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ การผ่าตัดได้เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม โดยทั้งคู่มีสุขภาพดีและกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ
แม้ว่าจะมีความกังวลด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการผ่าตัดผู้บริจาคที่ยังมีสุขภาพดี แต่ในญี่ปุ่น การปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยกว่าการปลูกถ่ายจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตแล้ว