จากผลการศึกษาพบว่า ภาวะโลกร้อนทำน้ำทะเลอุ่นขึ้น ทำปูอะแลสกา 10,000 ล้านตัวหายไปจากท้องทะเล
เป็นการรายงานจากสำนักข่าวซินหัว โดยได้รายงานว่าจากการศึกษาฉบับใหม่จากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) ว่าอุตสาหกรรมการประมง ปูหิมะ ในรัฐอะแลสกา หยุดชะงักไปในปี 2565 หลังประชากรปูหิมะหายไปอย่างน่าตกใจ และนักวิทยาศาสตร์มั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์เป็นสาเหตุทำให้ระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบต่อสัตว์ชนิดนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงจากสภาพระบบนิเวศอาร์กติกไปเป็น ระบบนิเวศกึ่งอาร์กติก (Sub-Arctic) นั้นมีแนวโน้มว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ถึงร้อยละ 98 ซึ่งผลลัพธ์อันเลวร้ายได้ทำให้ปูหายไปราว 10,000 ล้านตัวระหว่างปี 2561-2564 ขณะที่อุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าหายวับเหลือเพียงศูนย์ จากเดิม 227 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 7,700 ล้านบาท
ผลการศึกษาครั้งก่อนพบว่าคลื่นความร้อนใน น่านน้ำทะเลแบริ่ง (Bering Sea) อาจเร่งกระบวนการเผาผลาญของปู และเมื่อไม่มีแหล่งอาหารเพียงพอที่จะชดเชยปูหิมะอะแลสกาจึงอดอาหารตาย นายไมค์ ลิตโซว์ ผู้อำนวยการห้องแล็บโคเดียก สังกัดศูนย์วิทยาศาสตร์การประมงอะแลสกา ระบุว่าสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสภาพแวดล้อมแบบอาร์กติกที่เอื้อให้ปูหิมะเป็นชนิดพันธุ์เด่นในทะเลแบริ่งทางตะวันออกเฉียงใต้จะลดลงอย่างต่อเนื่องในอนาคต รายงานยังเผยอีกว่าจำนวนปูหิมะลดลงมากถึงร้อยละ 92 สวนทางกับประชากรปูหิมะที่อุดมสมบูรณ์ในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้นซึ่งสร้างความงุนงงอย่างมากให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคนจับปู ทั้งนี้ อุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและน้ำแข็งในทะเลที่ละลายหายไปในปี 2561-2564 ทำให้สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการอยู่รอดของปูมากขึ้นเรื่อยๆ แม้อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนจะไม่ส่งผลต่อปูมากนัก แต่กลับส่งผลต่อการเผาผลาญทำให้ปูต้องการสารอาหารมากขึ้น ขณะที่เหยื่อหรืออาหารมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับการล่า