ฆาตกรหลบหนีคดีฆาตกรรม 20 ปีจากสหรัฐฯ โดยการกลับไปเป็นตำรวจในบ้านเกิดที่เม็กซิโก
เรื่องราวของตำรวจตามจับฆาตกรนี้ เป็นเรื่องราวของ แอนโตนิโอ เอล เดียโบล ริอาโน (Antonio ‘El Diablo’ Riano) หนึ่งในรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่อเมริกาต้องการตัวมากที่สุด (America's Most Wanted) ผู้หลบหนีการจับกุมมานานถึง 20 ปี หลังก่อเหตุฆาตกรรมยิง เบนจามิน เบคาร์รา (Benjamin Becarra) วัย 25 ปี เสียชีวิต ย้อนกลับช่วงปี 2004 ในเดือนธันวาคมก่อนเกิดเหตุ ริอาโนได้เข้าไปพัวพันกับการทะเลาะวิวาท ณ บาร์ Roadhouse ในเมืองแฮมิลตัน รัฐโอไฮโอ หลังจากนั้นในวันเกิดเหตุซึ่งตรงกับวันที่ 19 ธันวาคม 2004 ริอาโนกลับมาที่บาร์อีกครั้ง คราวนี้เขาพยายามเข้าไปช่วยบาร์เทนเดอร์จากเบคาร์รา บาร์เทนเดอร์จึงขอให้ทั้งคู่ออกไปจากบาร์เพื่อสงบสติอารมณ์ แต่กลับเกิดการโต้เถียงกันระหว่างริอาโนและเบคาร์ราอีกครั้ง และไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเบคาร์ราก็ถูกยิงที่ใบหน้า เขาถูกพบในสภาพนอนคว่ำหน้าอยู่บนทางเท้าแล้วริอาโนก็หนีไป หลังจากตรวจสอบพยานแวดล้อมรวมถึงกล้องวงจรปิดที่บาร์ เจ้าหน้าที่ได้ระบุตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิงว่านั่นคือ ริอาโน และในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2005 เขาก็ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา
แต่เขาไม่ยอมมาปรากฏตัวตามคำฟ้องและก็ไม่มีใครพบตัวเขาอีกเลย เชื่อกันในขณะนั้นว่าเขาหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี ตามรายงานของ NBC News ด้าน พอล นิวตัน (Paul Newton) หัวหน้าคณะสอบสวนของสำนักงานอัยการเขตบัตเลอร์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ศาลสหรัฐฯ พยายามจับกุมริอาโนด้วยหมายจับในปี 2006 แต่เขาหลบเลี่ยงได้ จนวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้พบและจับกุมตัวริอาโนในวัย 72 ปี ได้ในที่สุดหลังจากตามหามา 20 ปี ด้วยการติดตามการใช้เฟซบุ๊กและโซเชียลมีเดียอื่นๆ
ปรากฏว่าเขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นอยู่ในเมืองซาโปติลัน ปาลมาส รัฐโออาซากา ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา ริอาโนจึงถูกส่งตัวจากเม็กซิโกซิตี้ไปยังเมืองซินซินแนติและถูกนำตัวเข้าเรือนจำเขตบัตเลอร์ ซึ่งเขาถูกควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีในศาล โดยเขาถูกคุมขังในข้อหาฆาตกรรม 2 กระทง และข้อหาทำร้ายร่างกาย 1 กระทง ซึ่งวันจันทร์ที่แล้วริโอนาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น จึงต้องกลับขึ้นศาลอีกครั้งในช่วงปลายเดือนนี้ ด้าน ไมเคิล ที. กาโมเซอร์ (Michael T. Gmoser) อัยการเขตบัตเลอร์กล่าวหลังจากริอาโนถูกจับกุมว่า “การจับกุมแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่ได้รับความร่วมมือและความรอบคอบจากทั้งเจ้าหน้าที่สอบสวนของสำนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสหรัฐฯ และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ