92 ปี สถาบันเทคโนโลยีปทุมวันโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย
โรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ในนาม "โรงเรียนอาชีพช่างกล" ณ ตึกพระคลังข้างที่ ตรอกกัปตันบุช ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โดยคณะนายทหารเรือ นำโดย น.อ. พระประกอบกลกิจ ร.น. และ พลเรือตรีสงบ จรูญพร ร.น. พร้อมด้วย พลเรือตรีพระยาวิจารณ์จักรกิจ (บุญรอด สวาทะสุข) กับ เรือเอกทิพย์ ประสานสุข ร.น. ได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังอาชีพช่างให้กับเยาวชนไทย
สองปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2477 โรงเรียนอาชีพช่างกลจึงย้ายไปตั้งแทนที่กรมแผนที่ทหารบก ซึ่งย้ายไปจากบริเวณท่าเรือ โรงเรียนราชินีล่าง จนในปีต่อมา โรงเรียนอาชีพช่างกลได้โอนเข้าสังกัดกระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล" ในปี พ.ศ. 2480 ได้มีการเช่าที่ดินตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเคยเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ โดยมีเนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ และได้จัดสร้างอาคารเรียน 1 หลัง โรงฝึกงานอีก 8 หลัง แล้วย้ายโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกลมาอยู่ที่โรงเรียนใหม่แห่งนี้
ในระหว่างเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทหารญี่ปุ่นประมาณร้อยนายได้เข้ายึดโรงเรียนช่างกลปทุมวัน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2485 เวลา 19.00 น. ส่งผลให้นักเรียนและบุคลากรต้องอพยพไปอาศัยเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ จนจบปีการศึกษา 2484 ต่อมาในวันที่ 4 มิถุนายน 2485 โรงเรียนช่างกลปทุมวันได้ย้ายไปทำการสอนที่เชิงสะพานเฉลิมโลก ประตูน้ำปทุมวัน ซึ่งเป็นโรงเรียนการช่างอินทราชัยในขณะนั้น
ในระหว่างเกิดสงคราม โรงเรียนช่างกลปทุมวันได้ส่งนักเรียนแผนกช่างยนต์ปีสุดท้ายจำนวน 32 คน พร้อมด้วยคุณครูอีกสองท่านไปช่วยงานด้านการซ่อมพาหนะที่แนวหน้ากองทัพสนามภาคพายัพของกระทรวงกลาโหม เมื่อสงครามสงบ กองทัพทหารสหประชาชาติได้เข้ายึดโรงเรียนช่างกลปทุมวันคืนจากญี่ปุ่น ทำให้นักเรียนได้กลับมาเรียนที่ช่างกลปทุมวันตามเดิม
ในวันนี้ โรงเรียนช่างกลปทุมวันได้เจริญก้าวหน้าจนครบ 92 ปี โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาด้านช่างกลและเทคโนโลยีในประเทศไทย ผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับสังคมและประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง เป็นสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ สืบทอดและรักษาเกียรติประวัติของโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทยได้อย่างภาคภูมิ