สินค้าแบรนด์เนมในจีนยอดตก สืบเนื่องมาจากเศรษฐกิจของจีนเริ่มซบเซา
ในปัจจุบันนี้ทุกประเทศทั่วโลกมีอะไรที่เหมือนกันสองอย่างคือ อากาศร้อนขึ้นและเศรษฐกิจซบเซานั่นเอง ซึ่งอย่างหลังนี่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงโดยถ้วนหน้า ในจีนก็เช่นกัน โดยในฐานะที่จีนเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งของโลก กำลังซื้อของผู้บริโภคจีน ย่อมส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมที่ชาวจีนเป็นกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่ ในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน แม้โควิด-19 จะผ่านไป และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนจะกลับมาแล้ว ยอดขายสินค้าหรูยังไม่กลับมาตาม เพราะคนจีนไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจ ทำให้ไม่อยากใช้จ่าย โดยเฉพาะกับสินค้าแบรนด์หรูที่ไม่จำเป็นกับการใช้ชีวิต โดยในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าในเอเชีย ไม่รวมญี่ปุ่นของ LVMH เครือแบรนด์เนมกว่า 75 แบรนด์ รวมถึง Louis Vuitton, Dior และ Tiffany & Co ลดลงถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการลดลงที่เพิ่มขึ้นมากจากยอดขายไตรมาสที่ 1 ที่ลดลงเพียง 6% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่ ยอดขายไตรมาสที่ 2 ในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า ของ Richemont เจ้าของแบรนด์ Cartier และ Van Cleef & Arpels ลดลง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยอดขายของ Burberry แบรนด์หรูสัญชาติอังกฤษ ลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
และนอกจากนี้ Swatch Group เจ้าของแบรนด์นาฬิกาอย่าง Blancpain, Longines และ Omega ยังออกมาเผยว่ายอดขายในจีนที่ลดลงยังทำให้ยอดขายรวมของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี ลดลงถึง 14.4%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า ขณะที่ Hugo Boss แบรนด์หรูจากเยอรมนีออกมาปรับลดคาดการณ์รายได้สำหรับปีนี้ จากความต้องการซื้อสินค้าที่ต่ำลงของผู้บริโภคจีนนั่นเอง แนวโน้มยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องนี้ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงเพราะเศรษฐกิจจีนยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในปีนี้ ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทแบรนด์หรูลดลงเป็นอย่างมาก โดยมูลค่าตลาดของ 4 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมคือ LVMH, Hermès, Richemont และ Kering ลดลงรวมแล้ว 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.2 ล้านบาทเลยทีเดียว