กองปราบฯ สรุปสำนวนส่งอัยการสั่งฟ้อง "ศรีสุวรรณ-เจ๋งดอกจิก" พร้อมพวก 5 ราย คดีรีดทรัพย์อธิบดีข้าว 1.5 ล้าน
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม บอกว่า คณะพนักงานสอบสวน คดีทุจริตระหว่าง นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ผู้กล่าวหากับกลุ่มผูัต้องหารวม 5 คน กรณีเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีการเรียกรับทรัพย์สิน รวมทั้งผลประโยชน์อื่นๆ ได้สรุปสำนวนการสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสำนวนการสอบสวน พร้อมพยานหลักฐานรวม 11 แฟ้มจำนวน 4,490 แผ่น โดยได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ภูริต ศรีบุญเรือง สารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 1 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในฐานะเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน และผู้ช่วยเลขานุการ ตามคำสั่ง บช.ก.นำสำนวนทั้งหมดไปเสนอต่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยคดีนี้ นายนัฏฐกิตติ์ ได้กล่าวหา นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก กับพวก รวม 5 คนต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2567 ระบุว่า วันที่ 20 ธ.ค. 2566 ถึง 26 ม.ค. 2567 ต่อเนื่องกัน ได้ถูกกลุ่มผู้ต้องหาเรียกเอาทรัพย์สินโดยทุจริตต่อหน้าที่ เหตุเกิดที่รัฐสภา เขตตุสิต, กรมการข้าว เขตจตุจักร กทม. และที่ ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย เป็นเงินจำนวน 1.5 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. นำโดยพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. จับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ และนำตัวกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 5 คน มาสอบสวน และแจ้งข้อที่ บก.ปปป. ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.-15 ก.พ. ต่อเนื่องกัน
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนนั้นประกอบด้วย นายยศวริศ ชูกล่อม ผู้ต้องหาที่ 1 ดำเนินคดีรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย
1.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มาตรา 172
2.เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดโดยมิชอบด้วยหน้าที่
3.ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทน โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายอันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด
4.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ
5.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ การเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย
6.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตราย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
ส่วนนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ ผู้ต้อง หาที่ 3, นายเอกลักษณ์ วารีชล ผู้ต้องหาที่ 4 และ น.ส.ณพัชญ์ปภา จรรยา ผู้ต้องหาที่ 5 ถูกดำเนินคดีเหมือนกันรวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย
1. ร่วมกันสนับสนุน เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่ง หรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจ ในตำแหน่งโดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
2.ร่วมกันสนับสนุน เจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
3.ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน โดยวิธีอันทุจริต
4. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และชื่อเสียง
5.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมหรือยอมให้ตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์ สิน โดยขู่เข็ญว่าเปิดเผยความลับ มาตรา 338 และ 6.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป