สหรัฐมีแผนสังหารนกฮูกมากกว่า 400,000 ตัว เพื่อปกป้องสายพันธุ์ท้องถิ่น
ในบ้านเรากำลังเดือนร้อนกันเอเลียนสปีชีส์อย่างปลาหมอคางดำ แต่ในสหรัฐก็กำลังมีปัญหาคล้ายๆกันแต่เป็นนกฮูก โดยองค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐอเมริกา (The US Fish and Wildlife Service) เปิดเผยแผนปฏิบัติการขั้นสุดท้ายที่จะใช้จัดการนกฮูกเกือบครึ่งล้านตัวให้หมดไปจากสหรัฐอเมริกา ในแถลงการณ์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมขั้นสุดท้าย สำหรับยุทธศาสตร์การจัดการนกเค้าแมวใหญ่ หรือนกฮูกสายพันธุ์ Barred owls ที่องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐฯ เผยแพร่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เสนอให้กำจัดนกฮูกสายพันธุ์นี้ ซึ่งเป็นสัตว์รุกรานประจำถิ่น ที่มีอยู่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 450,000 ตัว ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ข้อเสนอดังกล่าวที่องค์การบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐฯ ได้หยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางการปกป้องนกฮูกลายจุด สายพันธุ์ Northern spotted owl ซึ่งเป็นสัตว์สายพันธุ์พื้นเมือง ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากนกฮูกลายจุดสายพันธุ์นี้ ยังมีนกฮูกลายจุดแคลิฟอร์เนีย (California spotted owl) ที่ต่างกำลังถูกนกฮูกสายพันธุ์ Barred owl คุกคามมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ระบบนิเวศ วิถีชีวิตตามธรรมชาติ รวมไปถึงที่อยู่อาศัยและการขยายพันธุ์ ทั้งนี้ นกฮูกสายพันธุ์ Barred owl มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอเมริกาเหนือตะวันออก แต่พวกมันเริ่มอพยพและย้ายถิ่นฐานไปทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ในที่ราบเกรตเพลนส์ (Great Plains) และป่าทางตอนเหนือของทวีปอเมริกา มาตรการการจัดการนกฮูกสายพันธุ์ Barred owl ไม่ใช่เรื่องของการเปรียบเทียบกันระหว่างนกฮูกสองสายพันธุ์ หากไม่มีการจัดการนกฮูกสายพันธุ์นี้อย่างจริงจัง จะทำให้นกฮูกประจำถิ่นมีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์หายไปจากทวีปอเมริกา และเป็นการทำให้ความพยายามที่จะอนุรักษ์นกสายพันธุ์นี้ตลอดหลายทศวรรษสูญเปล่า อย่างไรก็ตาม แผนการครั้งนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ ที่หยิบยกการปฏิบัติหน้าที่ด้านจริยธรรมขึ้นมาเป็นประเด็นโต้แย้ง นอกจากนี้ มาตรการขั้นสุดท้ายนี้ยังถูกตั้งข้อสงสัยและวิจารณ์ว่า เป็นแผนงานจากหน่วยงานรัฐที่แพงเกินไป เพราะต้องใช้เงินประมาณ 235 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 8,500 ล้านบาท