จำใจต้องจับตายวายร้าย นกยูงอินเดีย ก่อนเสียหายไปมากกว่านี้
สืบเนื่องมาจากข่าวก่อนหน้านี้ ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ และสร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมากในกลุ่มคนรักสัตว์ เมื่อต้องทำการการุณยฆาต หรือฆ่าทิ้งนกยูงอินเดียสีขาว และนกยูงสายพันธุ์ผสม ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แต่การล่าตัวนกยูงอินเดียสีขาว ซึ่งหากินปะปนร่วมกับฝูงนกยูงไทยประมาณ 10 ตัว ด้วยการวางกรงดักยังไม่สามารถจับตัวได้ เนื่องจากนกยูงอินเดียสีขาวมีความว่องไว ก็ต้องฆ่าทิ้ง เหมือนกับหลายประเทศที่ทำกัน เป็นเหตุผลสำคัญที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ออกมาชี้แจง อีกหนึ่งคนที่ออกมาอธิบายในเรื่องนี้ ถึงความจำเป็นต้องฆ่านกยูงอินเดีย ชัยอนันต์ โภคสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกว่า ในป่าอนุรักษ์ต้องการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งการผสมข้ามสายพันธุ์ จะเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ ทำให้ลูกที่เป็นพันธุ์แท้หายไป เป็นการทำให้ให้สัตว์ที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ สูญพันธุ์ และทำให้ระบบนิเวศมีการเปลี่ยนแปลง เพราะปกติแล้วสัตว์จะมีวิวัฒนาการเป็นล้านๆ ปี เมื่อข้ามสายพันธุ์ ก็จะเกิดลูกผสม นกยูงอินเดียตัวสีฟ้าใหญ่กว่า ส่วนนกยูงไทยสีเขียวตัวเล็กกว่า เป็นสายพันธุ์คนละกลุ่มกัน อย่างกับลิง ก็มีหลายสายพันธุ์ เช่น ลิงแสม ลิงกัง พอมาผสมสายพันธุ์กัน ทำให้พันธุ์ดั้งเดิมหายไป ก็จะถูกขับออกจากฝูง ไม่ต่างจากนกยูง และถ้านกยูงอินเดียตัวผู้ มีความสมบูรณ์กว่านกยูงไทยตัวผู้ ก็อาจทำให้นกยูงไทยตัวเมีย เลือกผสมพันธุ์กับนกยูงอินเดีย จนทำให้นกยูงไทยพันธุ์ดั้งเดิมหายไป หรือกรณีลิง แม้ตามธรรมชาติ ลิงจะไม่ผสมข้ามสายพันธุ์ ยกเว้นพื้นที่จำกัด ก็ต้องผสมพันธุ์ สันนิษฐานว่า นกยูงอินเดียที่พลัดหลงเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เกิดจากการขนส่งเคลื่อนย้ายด้วยน้ำมือมนุษย์ ทำให้เกิดความเสียหาย จนถึงขณะนี้ไม่สามารถจับตัวนกยูงอินเดียได้ เพราะป่าห้วยขาแข้ง มีเนื้อที่กว้างมาก 1 ล้าน 7 แสนไร่ ปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรในการบริหารจัดการ เพื่อให้เสียหายให้น้อยที่สุด เช่นเดียวกับการกำจัดนกยูงอินเดีย ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าฯ จะรักษาระบบนิเวศให้เสียหายน้อยที่สุด จากเอเลี่ยนสปีชีส์ อาจสะเทือนใจคนรักสัตว์ แต่ก็ต้องเข้าใจ เพราะจริงๆแล้วเขาไม่อยากฆ่า ถ้าจับได้ก็คงจับได้แล้ว นั่นเอง