ผู้สูงอายุ เป็นเหยื่อรายใหม่ของพวกมิจฉาชีพ เพราะมีเงินออม
เนื่องจากในปัจจุบันนี้พวกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ได้ระบาดไปทั่ว ที่พักหลังๆมานี้มุ่งเน้นไปที่คนสูงอายุ โดยเมื่อวานนี้ (29 มิถุนายน 2567) ทางตำรวจไซเบอร์ได้ออกมาบอกว่า เพียง 2 ปีมีผู้สูงอายุที่ถูกมิจฉาชีพหลอก เกือบ 30,000 คน เพราะส่วนใหญ่ผู้สูงอายุวัยเกษียณมีเงินเก็บ ช่องโหว่คือการติดโทรศัพท์มือถือ อยู่คนเดียวกลางวัน ทำให้มิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้ในการหลอกดูดเงิน ข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์ บอกว่าวิธีการหลอกผู้สูงอายุ ของกลุ่มมิจฉาชีพ ยังคงเป็นวิธีการเดิม ๆ เช่น หลอกให้รัก หลอกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกให้กดลิงก์ซื้อสินค้า หรือ หลอกทำธุรกรรม
ปัจจัยหลักๆ คือการขาดความรู้ทางเทคนิคในการใช้โซเชียลมีเดีย ไว้ใจคนง่าย ความโดดเดี่ยวทางสังคมอยู่คนเดียวในช่วงกลางวัน มีเงินออมเช่นเงินบำนาญ กองทุน เบี้ยผู้สูงอายุ และอาจจะมีฐานข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย
ล่าสุดมีชายวัย 86 ปี ชื่อนายเจ้า ศรีรัตน์ ณ ลำปาง อดีตผู้จัดการธนาคาร โดนแก๊งคอลเซนเตอร์ วิดีโอคอลหาตอนอยู่คนเดียว หลอกว่าเป็นตำรวจ ใช้มุกเก่าอ้างว่าบัญชีธนาคารที่ใช้อยู่มีส่วนพัวพันกับขบวนการสีเทา เข้าข่ายบัญชีม้า รู้ยอดเงินในบัญชี ตอนนั้นตกใจและหลงเชื่อ จึงตกหลุมพลางโอนเงินเกือบ 900,000 บาท ไปให้บัญชีที่ชื่อนายมงคล และยังหลอกล่อให้ขายทองรูปพรรณที่เก็บไว้ไปขายและให้โอนเงิน ทำให้เอะใจว่าถูกหลอก จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ส่วนที่เชียงใหม่ ก็มีหญิงวัย 64 ปี เข้าแจ้งความตำรวจ หลังถูกเพจในเฟซบุ๊กชักชวนร่วมลงทุน โดยให้โอนเงินเข้าระบบฝากเงิน เพื่อรับค่าคอมมิชชัน ระยะแรกได้รับเงินจริงตามที่กล่าวอ้าง ทำให้เชื่อใจ และ โอนเงินลงทุนไปเพิ่มอีกหลายครั้ง จนสูญเงินกว่า 250,000 บาท ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกหลอก
ตำรวจไซเบอร์ ให้ข้อมูลว่าการที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมีตัวเลข 13 ล้านคน ปัจจุบันผู้สูงอายุมักจะติดโทรศัพท์ ใช้โซเชียลคนเดียวตอนกลางวัน และชอบแชร์ความเป็นส่วนตัวในเฟซบุ๊ก แก๊งคอลเซนเตอร์ที่ีทำงานเป็นขบวนการ จะจับตา และเจาะฐานข้อมูลทั้งในเฟซ และข้อมูลส่วนตัว จากนั้นจะทักไลน์ ทักข้อความผ่านเฟซ หรือโทรศัพท์พูดคุย ให้ตายใจ ใช้จิตวิทยาหลอกล่อ เพราะรู้ว่าเมื่ออยู่คนเดียว ด้วยอายุอาจจะไม่มีสติ ที่น่ากังวลคือเมื่อเงินถูกโอนออกแล้ว บัญชีม้าจะโอนเงินไปบัญชีในต่างประเทศทันที ยากต่อการได้คืน นั่นเอง