เลือกตั้งไต้หวัน 2024 บ่งชึ้อนาคตการรวมชาติระหว่าง....จีน กับ ไต้หวัน
ผลการนับคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 8 ของไต้หวัน เมื่อวันเสาร์ที่ 13 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า นายไล่ชิงเต๋อ (พรรคหมินจิ้นตั่ง-ประชาธิปไตยก้าวหน้า) ชนะขาดลอย ได้คะแนนเสียง 5,586,019 (40.05%) นายโหวโหยวอี๋ (พรรคก๊กมินตั๋ง-ชาตินิยมจีน) ได้คะแนนเสียง 4,671,021 (33.49%) นายเค่อเหวินเจ๋อ (พรรคไถวันหมินจ้งตั่ง-ประชาชนไต้หวัน) ได้คะแนนเสียง 3,690,466( 26.46%) จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดจำนวน 19.5 ล้านคน ซึ่งนายไล่ชิงเต๋อ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีไต้หวันต่อจากประธานาธิบดีหญิง “ไช่อิงเหวิน” จากพรรคเดียวกัน ถือเป็นครั้งแรกนับจาก พ.ศ.2543 ที่พรรคการเมืองในไต้หวันชนะเลือกตั้งและครองอำนาจปกครองสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
ไล่ชิงเต๋อ (Lai Ching Te)
นายโหวโหย่วอี๋ ผู้ชนะการเลือกตั้งอันดับที่ 2 จากพรรคก๊กมินตั๋ง มีนโยบายทางเลือกระหว่างสงครามและสันติภาพ ซึ่งเขาให้คำมั่นกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนดีขึ้น โดยโหวโหย่วอี๋ มีจุดยืนทางการเมืองต่อประเด็นจีน-ไต้หวัน ตรงตามจุดยืนของพรรคก๊กมินตั๋ง คือ คัดค้านการประกาศเอกราชของไต้หวัน และสนับสนุนหลักการจีนเดียว ณ ปัจจุบัน โหวโหย่วอี๋ กับก๊กมินตั๋งต้องการรักษาสถานะปัจจุบันระหว่างไต้หวันกับจีนเอาไว้ และต้องการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ต้องการให้มีการเจรจาการค้าและค้าขายกันมากขึ้น
โหวโหย่วอี๋ (Hou You Ih)
ส่วนผู้ชนะการเลือกตั้งอันดับที่ 3 นายเค่อเหวินเจ๋อ จากพรรคไถวันหมินจ้งตั่ง เคยกล่าวว่าปัญหาสำคัญที่แท้จริงของไต้หวันนั้นไม่ใช่จีน เพราะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พรรคหมินจิ้นตั่ง และพรรคก๊กมินตั๋ง ผลัดกันขึ้นสู่อำนาจ แต่ชีวิตของคนไต้หวันยังไม่ดีขึ้น เขาส่งเสริมนโยบายความอดทนต่อจีน พยายามหารือเกี่ยวกับสถานะที่เป็นอยู่ และความสัมพันธ์ในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนสินค้าจำเป็น และภัยธรรมชาติ โดยเขากังวลต่อความเดือดร้อนของประชาชน และความเสี่ยงที่สงครามอาจเกิดขึ้นจากเกมการเมืองโลกมากกว่า
เค่อเหวินเจ๋อ (Ko Wen Je)
ถึงแม้ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ นายไล่ชิงเต๋อ จะได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 1 ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีไต้หวัน และทั่วโลกทราบกันดีว่ารัฐบาลพรรคหมินจิ้นตั่ง มีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน และต่อต้านหลักการจีนเดียว รวมทั้งต่อต้านการรวมชาติของจีนกับไต้หวัน แต่ว่าเมื่อย้อนมองผลการเลือกตั้งไต้หวัน 2024 พบว่าคะแนนของพรรคอันดับ 1 2 3 นั้นคะแนนไล่บี้กันมา ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากนัก และหากรวมเอาคะแนนของพรรอันดับ 2 กับ 3 มารวมกัน ก็จะพบว่ารวมแล้วสูงกว่าพรรคดันดับ 1 อยู่มาก ฉะนั้นแล้ว ผลการเลือกตั้งทั้วไปไต้หวัน 2024 นี้ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่ายังมีประชาชนชาวไต้หวันอีกจำนวนมากที่ต้องการจะรวมชาติกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยยินยอมให้ไต้หวันเป็นแค่เขตปกครองพิเศษ ลักษณะเดียวกันฮ่องกง หรือมาเก๊า
จากผลการสำรวจข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้งไต้หวัน “นิวโหวตเตอร์” อาจส่งผลต่อทิศทางผลเลือกตั้ง กล่าวคือ จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไต้หวัน 19.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (New voter) อายุระหว่าง 20-23 ปี กว่า 1.02 ล้านคน แม้ว่าคนรุ่นใหม่ไต้หวันจะมีความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นของจีนต่อไต้หวัน แต่ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ค่าแรงตกต่ำและปัญหาที่อยู่อาศัยราคาสูงลิ่วจนเข้าถึงไม่ได้ กลับเป็นความกังวลที่ใหญ่กว่า พวกเขาจึงมีความต้องการที่ดำรงชีพเฉกเช่นประชากรในประเทศที่เจริญแล้วและเป็นมหาอำนาจอย่างจีน
+++______________________________________+++
รูปภาพ : เครดิตบนภาพ