บทสรุปคดี "น้องชมพู่" หลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา
บทสรุปคดี "น้องชมพู่" หลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา อัยการชี้น่าจะมีคนต้องโทษ
อัยการอาวุโส วิเคราะห์ทิศทางคำตัดสิน 3 ปี คดี "น้องชมพู่" หลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา มั่นใจคดีนี้น่าจะมีคนต้องโทษ
บทสรุปคดี "น้องชมพู่" หลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา อัยการชี้น่าจะมีคนต้องโทษ
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 30 ตุลาคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับประเด็นที่สังคมจับตามอง 3 ปี คดี "น้องชมพู่" ล่าสุดศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปเป็นช่วงเดือนธันวาคม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า การทำคำพิพากษา คือการร่างคำ โดยเขียนมือ ซึ่งเป็นคดีที่คนสนใจ เมื่อร่างเสร็จแล้วก็จะส่งไปให้ท่านอธิบดีผู้พิพากษาตรวจ โดยจะต้องตรวจ และดูสำนวนด้วย ซึ่งกระบวนการตรงนี้อาจจะล่าช้า
ซึ่งแน่นอนคำพิพากษามันเสร็จแล้ว เพียงแต่ต้องดูว่าท่านอธิบดีผู้พิพากษาตรวจ และเห็นด้วยหรือไม่ หากเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็จะมีการส่งหนังสือตอบกลับไปมา รวมถึงมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นปกติที่เขาอาจจะทำไม่เสร็จ โดยคำพิพากษาจะต้องเป็นความลับ จนกว่าจะมีการอ่านผนึกต่อหน้าบัลลังก์ เพื่อกันความลับรั่วไหล
ด้าน นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เผยถึงการรอฟังคำพิพากษาว่า รอจนนอนไม่หลับ เพราะตื่นเต้นเหมือนใครหลายคน และอยากจะรู้ว่าคดีมันจะไปจบอย่างไร ซึ่งตนเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่ลุงพลเขาไม่มีอะไรเลย ไปเจอตอนเขานอนเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเลย ส่วนตนเองได้ลงพื้นที่ไปนั้น เพราะมีตำรวจนายหนึ่งมาติดต่อตน บอกว่าเป็นคดีที่ซับซ้อน หาหลักฐานยาก อาจจะเกี่ยวกับเรื่องราวลี้ลับ
พอตนเองไปเจอเขา ก็เกิดความสงสาร แต่วันนี้ภาพที่เห็น เขาก็เป็นอีกอย่างแล้ว ซึ่งในตอนนั้นคนไทยก็เกิดความสงสาร เริ่มบริจาคเงินช่วยเขา อะไรที่ช่วยได้เราช่วย ยอมรับว่าเราเริ่มจากการสงสารคน แล้วเขาก็มาเริ่มที่จะสงสัยตนเอง ในช่วงแรกที่เกิดเหตุที่เป็นประเด็นกัน "เรื่องการปักธูปกลับหัว"
ในตอนนั้นลุงพลเขาทำเอง แต่มีคนที่มาปรึกษาตนว่าจะทำอย่างไรดี เพราะการปักธูปกลับหัวเหมือนกับการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านเขาเร่ิมไม่พอใจ ตนเองจึงออกโรงปกป้อง บอกทุกคนไปว่าตนเองเป็นคนสั่ง เพื่อปกป้องลุงพล แต่จริงๆ แล้วการปักธูปกลับหัวก็เหมือนการกลับคำสาบาน จนสุดท้ายก็แยกวงกัน เพราะเขาเริ่มระแวงตนที่ออกมาปกป้อง ซึ่งจุดแตกหักคือตอนที่นัดเขาไปหาบุคคล 3 คน ที่เป็นคนในบ้านกกกอก แล้วบอกว่าเห็นเหตุการณ์ ในตอนนั้นก็พาทนายเกิดผลไปด้วย แต่ปรากฏว่าลุงพลหายตัวไป ไม่มาตามนัด และมาหาอีกทีตอนมืด ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ทำให้ตนเองค่อยๆ ถอยออกมา
ส่วนในเรื่องของคดี อาจารย์ปรเมศวร์ กล่าวว่า ตนเองนั้นไม่รู้ เพราะการชันสูตรต้องหาความจริงให้ได้ภายใน 67 วัน หากไม่เสร็จก็จะหาสาเหตุการตายไม่ได้มันจะลำบาก แต่ในที่สุดผลออกมาคือการขาดน้ำ ขาดอาหาร ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่น้องจะขึ้นไปเอง ดังนั้นการที่ตำรวจตั้งข้อหาพรากผู้เยาว์ แสดงว่ามันต้องมีคนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทางเจ้าหน้าที่เขารู้ แต่เขาไม่พูด
ส่วนการขาดน้ำ และอาหาร ก็มีการตั้งข้อหาทอดทิ้ง และอำพรางศพ ต่อมาทางอัยการก็ตั้งข้อหาเพิ่ม ดังนั้นการที่อัยการมาตั้งข้อหาเพิ่มว่าฆ่าคนตาย แสดงว่าในการสอบสำนวนร้อยกว่าปาก มันต้องมีอะไรสักอย่าง แต่มีคนถามว่าคดีนี้มันจะออกมาอย่างไร อย่าบอกว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นประจักษ์พยานเท่านั้น เพราะบางคดีก็ไม่จำเป็นจะต้องมีประจักษ์พยาน
สำหรับเรื่องของที่ ทนายลุงพล มาบอกว่าผลตรวจไม่พบดีเอ็นเอลุงพล ก็ต้องบอกว่าดีเอ็นเอมันไม่ใช่สาระ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพิจารณา ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดก็ต้องดูที่ศาลวินิจฉัย และดูที่การตั้งข้อหา แต่เรื่องนี้มันมีความบกพร่อง คือมันล่าช้าไปนิดหน่อย จากการเดินไปหาศพน้องหลายๆ ครั้ง มันทำให้เป็นการทำลายหลักฐานไปหมด
และสองคือ การวินิจฉัยของหมอที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาชญากรรมตายเพราะอะไร เพราะมุ่งถึงเรื่องของการทำร้าย และข่มขืน โดยไม่มองถึงภายใน ต่อมาในเรื่องของการชันสูตรพลิกศพที่ได้ผลช้ากว่า 67 วัน แต่วิธีการของตำรวจ เขาก็บอกเราไม่หมด คงต้องมีอะไรมากกว่านั้น
เมื่อถามถึงการตั้งข้อหาต่างๆ อาจารย์ปรเมศวร์ เผยว่า หากพรากผู้เยาว์มันก็ 10 ปีอยู่แล้ว ส่วนการทอดทิ้งจนทำให้ตายก็หนักสุดถึงประหารชีวิต ซึ่งเราก็ต้องมารอฟังต่อไป แม้จะมีคนบอกว่าคดีนี้จะถูกยกฟ้อง ตนขอให้ข้อสังเกตว่าหากอัยการฟ้อง โดยปกติแล้วจะยกฟ้องไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ถามว่าจะมีคนต้องโทษไหม ตนว่ามี แต่จะข้อหาใด ตนไม่รู้ แต่อย่างไรก็ตามตนเชื่อกฎแห่งกรรมมีจริง
ภาพจาก: Pinterest