ศาลปกครองสูงสุด ตีตกคำขอ ป.ป.ช. ขอให้พิจารณาคดีสั่งเปิดเอกสารสอบ ‘นาฬิกาบิ๊กป้อม’ ใหม่ ชี้ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์
ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ไม่รับคำขอของสำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่กรณีมีผู้อื่นขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
สืบเนื่องมาจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาระหว่าง นายวีระ ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผยเอกสารการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร 3 รายการ คือ
1. รายงานและสำนวนการตรวจสอบ การไต่สวน และการไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ การไต่สวน และการไต่สวนเบื้องต้น กรณีดังกล่าว��2. ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว��3. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
แต่เอกสารรายการที่ 2 ป.ป.ช. มีมติไม่เปิด อ้างว่าจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และพนักงานไต่สวน รวมทั้งบุคคลภายนอกที่มาให้ข้อมูล พร้อมกับมีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช. ยื่นขอศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่า
1. ผู้ฟ้องคดี (นายวีระ) มิใช่ผู้เสียหายตามมาตรา 42 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และเอกสารที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เปิดเผยเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และมาตรา 15 (2) (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540���2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 36 วรรคสาม ห้ามมิให้เปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลรายงานและสำนวนการตรวจสอบ สอบสวน ไต่สวน หรือไต่สวนเบื้องต้น รวมทั้งบรรดาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ การสอบสวน การไต่สวน หรือการไต่สวนเบื้องต้นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจนกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้พิจารณาและมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว เว้นแต่จะเป็นการเปิดเผย เพื่อประโยชน์ในการไต่สวนหรือไต่สวนเบื้องต้น��และ 3. การไต่สวนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นการใช้อำนาจตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงไม่เป็นคำสั่งทางปกครองตามคำวินิจฉัยของศาล�
ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำขอดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง
โดยวินิจฉัยว่า ความเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งอันแสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในชั้นตรวจคำฟ้อง ก่อนที่จะมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว�
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอ้างว่า เอกสารที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เปิดเผยเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามมิให้เปิดเผย และการไต่สวนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างในการขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ อ.224/2566 ได้วินิจฉัยไว้แล้ว�
กรณีจึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน การพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเท่านั้น กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่ามีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนการพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ดังนั้น คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้
อ้างอิงจาก: fb เพจ สำนักงานศาลปกครอง และ เว็บไซต์ศาลปกครอง