"ป่วยด้วยอะไร ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าคนอื่น" เด็กกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน
จากเหตุการณ์เด็กอายุ 14 ปี กราดยิง ที่ห้างสยามพารากอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย สร้างความเสียใจให้กับคนในประเทศเป็นอย่างมาก กลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศและต่างประเทศ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นที่หดหู่ใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรุ่นใหม่ สังคมปัจจุบัน
ทางอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
มองว่า เหตุการณ์ยิงที่สยามพารากอน จะป่วยด้วยอะไรก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าผู้อื่น ไม่อยากให้มองแต่เด็ก แต่ให้มองในมุมของญาติผู้เสียชีวิตด้วย แนะปิดสนามยิงปืนที่เด็กไปซ้อมยิง เหตุปล่อยให้เด็กเข้าไปได้อย่างไร รวมถึงลูกกระสุนที่แอบเอาออกมาอีกด้วย มองระบบแจ้งเตือนภัยของไทยยังล้าหลัง
พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กล่าวผ่านรายการโหนกระแส ทางช่อง 3ถึงเหตุการณ์เด็กวัย 14 ปี ก่อเหตุยิงในห้างสยามพารากอน ว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวช 2 ล้านคน จากทั้งประเทศมีประชากร 77 ล้านคน ย้ำว่าป่วยด้วยอะไร ก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าคนอื่น คิดถึงแต่เด็กดูแลแต่เด็ก ทำไมไม่คิดถึงญาติผู้เสียชีวิตบ้าง คุณมีสิทธิอะไรไปฆ่าเขา เลี้ยงดูอย่างไรให้ไปฆ่าเขา ในส่วนของปืน มองว่า กรมการปกครองไปจับแบลงก์กัน แล้วตีว่าไม่ใช่อาวุธปืน จับได้แล้วก็ปล่อย ทีนี้แบลงก์กันมันก็ทะลักเข้ามา สั่งง่ายดาย ดัดแปลงง่ายดาย แค่เปลี่ยนลำกล้อง ดัดแปลงแม็กกาซีน ก็กลายเป็นอาวุธปืนทันที ณ วันนี้มันยังนำเข้าได้ถูกกฎหมาย คำถามคือ ต้องมาคุยกันได้หรือยังว่าต้องห้ามนำเข้า
การซื้อกระสุน ปล่อยให้เด็กอายุเท่านี้มาซื้อได้ยังไง แล้วการซื้อกระสุนในสนามยิงปืน มันต้องยิงในสนาม เอาออกไปข้างนอกไม่ได้ สนามปืนต้องถูกดำเนินการ สั่งปิด แล้วสอบสวนความผิดด้วยและเมื่อดูจากคลิปที่เห็นเด็กคนนี้ยิงปืนในสนามซ้อม มองว่าเด็กคนนี้ฝึกซ้อมยิงปืนมาจนชำนาญ สังเกตกลุ่มกระสุนเข้าเป้าเกาะกลุ่ม
พล.ต.ท.เรวัช เห็นว่า ในต่างประเทศมีการวางระบบที่ทันสมัยและรัดกุม กดปุ่มเดียวสามารถแจ้งเหตุได้เลยว่าเหตุอะไร ที่ไหน ตำรวจพุ่งตรงมาได้ทันที แต่ของบ้านเรา ต้องยอมรับว่าระบบการแจ้งเตือนต่างๆ ยังล้าหลังอยู่
อ้างอิงจาก: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์