ไม่พูดแล้วนิรโทษฯ “จตุพร” จี้ลงมือทำเลย เสนอ รบ.ออก พรก.คดีชุมนุมการเมือง ไม่เว้นคดี 112 เร่งปล่อยทุกฝ่ายพ้นคุก

ไม่พูดแล้วนิรโทษฯ “จตุพร” จี้ลงมือทำเลย เสนอ รบ.ออก พรก.คดีชุมนุมการเมือง ไม่เว้นคดี 112 เร่งปล่อยทุกฝ่ายพ้นคุก

หลุดคดีพันธนาการ กังขาหัวขบวนจูบปากคืนดีกันแล้ว จะทำเมินเฉยคนต่อสู้เพื่อตัวเองเป็นหมาหัวเน่าหรือ?

เมื่อ 23 ก.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า การนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองต้องลงมือทำกันได้แล้ว ไม่ใช่ต้องมาตั้งกลุ่มคุยหาแนวทางกันอีก ไม่เกิดประโยชน์ แต่รัฐบาลควรเร่งออกเป็น พรก.ประกาศใช้ออกมา เพื่อสลายความขัดแย้งและปลดปล่อยผู้ต่อสู้ต้องติดคุก ส่วนหัวหน้าขบวนการกลับจูบปากคืนดีกัน ดังนั้น เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยน ประชาชนก็ไม่ควรเป็นหมาหัวเน่า

นายจตุพร กล่าวว่า การนิรโทษกรรมตามที่พูดถึงข่าวฝากไว้ให้ทำนั้น ไม่รู้มีข้อเท็จจริงอย่างไร ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มา 9 ปี แม้มีโอกาสทำได้ ก็ได้เพียงตั้งวงทั้งเป็นกลุ่มและเดี่ยวมาคุยกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ล้มเหลว ไม่ได้ทำอะไรเลยให้ประชาชน และเมื่อกล้านิรโทษกรรมให้ตัวเองกับพวกพ้องยึดอำนาจได้ ก็ควรทำให้กับทุกฝ่ายเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนตัวเองหรือไม่ก็ตาม

อีกทั้ง กล่าวว่า การตัดสินใจนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองไม่ควรพูดให้มากความ อยากทำก็ทำเลย ไม่อยากทำก็ไม่ต้องเสียเวลาคุย ดังนั้น คนคิดจะทำการนิรโทษกรรมต้องใจใหญ่ ใจกว้าง และอย่ากลัวว่าใครจะมาเป็นคู่แข่งทางการเมืองของตัวเอง

“สิ่งน่ากังวลคือคนหนุ่งสาวที่มีคดีถึง 30-50 คดี แล้วนับโทษต่อเนื่อง ถ้าจะปล่อย ก็ควรปล่อยให้หมดในคดีที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองจะได้ยุติ และการปล่อยตัวไม่ควรเว้นโทษคดี ม.112 ซึ่งถ้าเว้นไว้จะเป็นภาระให้กับพระเจ้าแผ่นดิน

นายจตุพร กล่าวว่า เยาวชนหลายคนต้องคดีหนักๆ กัน และยังถูกนับโทษต่อ รวมแล้วจะติดคุกมากกว่าคนถูกพิพากษาโทษประหารชีวิต เพราะการนับโทษต่อนั้น เอาแค่โทษ ม.112 คดีละปีครึ่งและยังไม่ได้ออกจากคุกก็มีโทษคดีใหม่มาต่อแถวอีกแล้ว เรื่องแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล

“ส่วนคดีของฝ่ายเหลืองและแดงนั้น คงไม่น่ากังวล เพราะผู้ต้องคดีล้วนแก่ชรากัน และคนที่เป็นสาเหตุความขัดแย้งได้ไปจูบปากคืนดีกันหมดแล้ว ส่วนที่เหลือถูกทิ้งให้ติดคุกกันเพื่ออะไร ดังนั้น ส่วนที่เหลือทั้งเหลืองและแดงก็เป็นหมาหัวเน่ากันทั้งนั้น”

พร้อมทั้งเสนอว่า การนิรโทษกรรมนั้น หลักใหญ่ให้ศึกษาจากการทำงานของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยมีราชสำนักอยู่เบื้องหลังอำนวยการสร้างออกคำสั่งนายกฯ 66/2523 เป็นสัญญาสลายความขัดแย้ง แล้วตามด้วยกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนป่าคืนเมือง จึงสามารถยุติสงครามระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิตส์แห่งประเทศ (พคท.) ได้

อย่างไรก็ตาม การยุติสงครามของทั้งสองฝ่ายนั้น เริ่มด้วย พล.อ.ชวลิต ได้เจรจากับแกนนำ พคท. ซึ่งส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ใน กทม. โดยตำรวจและฝ่ายความมั่นคงรู้กันดี แต่ไม่จับ เมื่อ พล.อ.ชวลิต ไปคุยจนไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงพากันไปถึงฐานที่มั่นในเขตป่าเขา เพื่อเจรจาให้ยุติสงครามกัน

นายจตุพร กล่าวว่า การพูดถึงนิรโทษกรรมมีทั้งมิติเป็นการพูดให้มีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าต้องการจะให้จบแล้ว คนที่ไปทำหน้าที่เจรจาลับจนมีรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมา จึงควรออกแรงตราเป็นพระราชกำหนด (พรก.) เลย มันจะได้จบกัน เพราะยุคสมัยเปลี่ยน ความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อทักษิณ ชินวัตร ได้กลับประเทศ รัฐบาลยังเอา สว.มาโหวตให้ แล้วจะอย่างไงกันต่อละทีนี้

“วันนี้เรื่องนิรโทษกรรมควรเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่มาพูดกัน อีกอย่างมีปัญหาว่ารัฐบาล 9 ปีที่ผ่านมาก็ใจไม่ใหญ่ ส่วนที่เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ก็ไม่รู้ใจใหญ่หรือเปล่า แต่แววๆ มาว่า ได้ฝากเรื่องนี้กันเอาไว้ ส่วนข้อเท็จจริงเป็นไงไม่ทราบได้ หากเรื่องนิรโทษกรรมเสนอเป็นพระราชบัญญัติ (พรบ.) ไม่มีทางจะได้ทำ และยิ่งสร้างปัญหาขึ้นมาอีก

“บ้านเมืองจะเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง ที่สำคัญการนิรโทษกรรมถ้าเสนอเป็น พรบ.ก็จะเป็นปัญหาขัดแย้งขึ้นทันที ถ้าการข่าวตรงกันแล้ว อะไรที่ฝากกันไว้ก็ควรทำกันเสีย ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งต่างๆ ลงได้

พร้อมทั้งเชื่อว่า ถ้าคิดกลัวเรื่องทางการเมือง คนรุ่นใหม่ก็ไม่น่ากลัวอะไร เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเอาแนวทางให้ไปติดคุกย่อมไม่เป็นผลดี อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดจะเริ่มต้นประเทศกันใหม่และต้องการแก้ไขความขัดแย้ง โดยไม่เอามาเป็นปัญหาทางการเมืองแล้ว การนิรโทษกรรมยิ่งต้องทำเลย ประเทศจะพลิกทันที

นายจตุพร กล่าวว่า ในยุคหลังเหตุการณ์ประท้วงพฤษภา 35 มีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง ต่อมาหลายรัฐบาลก็ผ่านไป แม้ประชาชนหวังให้ ปชป.เป็นแม่งานเกิด รธน.ใหม่ แต่รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งไม่มีใครหวังเลย กลับผลักดันได้สำเร็จ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ รธน. 40

อีกทั้ง เชื่อว่า การต่อสู้ทางการเมืองไม่ควรต้องมาติดคุกกัน เพราะเป็นการต่อสู้ตามความเชื่อ แต่บ้านเมืองกลับนำข้อหามาล็อกขาทุกฝ่ายไว้ โดยสร้างข้อหาใหญ่ๆ มาเล่นงาน ไม่ว่าจะเป็นข้อหากบฎ ก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ข้อแบบนี้ในการชุมนุมทางการเมืองไม่ควรนำมาใช้เลย

ส่วนการพยายามอธิบายถึงการจับมือของเสื้อเหลืองกับแดงเพื่อทำลายส้มนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เป็นการอธิบายที่น่าสมเพชที่สุด และไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรได้ เป็นเพียงรัฐบาลสร้างประโยชน์ร่วมในการรักษาอำนาจกันต่อไปในทางการเมือง ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่ควรจะเป็นแล้วต้องไม่ผลักประชาชนออกจากกัน อีกอย่างการเสนอเช่นนี้เป็นการเปลี่ยนคู่ขัดแย้งใหม่ให้่เกิดขึ้นมาอีก

“ประเทศเป็นปัญหามาตลอดนั้น เพราะประชาชนถูกแบ่งแยก เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลต่างสะดวกใจในการปกครองประเทศที่ประชาชนแตกแยกกัน รัฐจึงต้องสร้างให้เกิดสภาพแบ่งแยกแล้วปกครองขึ้นมา ดังนั้น ถ้าประชาชนไม่สามัคคีและไม่กล้าปลดปล่อยประชาชนด้วยกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก”

ประเทศไทยต้องมาก่อน